นครรัฐในเมโสโปเตเมีย
|
||
แม่น้ำสองสายไหลมาจากภูเขาซึ่งปัจจุบันนี้
คือ ตุรกี ไหลผ่านซีเรียและอิรักและในที่สุดก็ไหลลงอ่าวเปอร์เซีย
กว่าหกพันปีที่ผ่านมา น้ำในแม่น้ำเหล่านี้เป็นสายเลือดซึ่งก่อรูปขึ้นเป็นชุมชนเกษตรกรรม
ชุมชนเหล่าก็เจริญรุ่งเรืองเป็นหมู่บ้านและเมือง
ภูมิศาสตร์แห่งดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์
(Fertile
Crescent)
ภูมิอากาศทะเลทรายมีอิทธิพลต่อภูมิทัศน์ระหว่างอ่าวเปอร์เซียและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
กระนั้นก็ตาม ในภูมิภาคอันแห้งแล้งที่พาดไปตามส่วนโค้งของแผ่นดินนี้ก็ยังมีบางส่วนที่ทำเกษตรกรรมได้ดีที่สุดในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
ภูมิภาคที่เป็นรูปทรงโค้งและมีความอุดมสมบูรณ์ทำให้นักวิชาการเรียกว่าดินแดนแห่งนี้ว่า
“พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” (Fertile Crescent) ซึ่งรวมถึงดินแดนที่หันหน้าไปทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและพื้นที่ราบที่กลายเป็นที่รู้จักกันว่า
“เมโสโปเตเมีย” (Mesopotamia) คำนี้ในภาษากรีกหมายความว่า
"ดินแดนระหว่างแม่น้ำ"
แม่น้ำที่ล้อมกรอบเมโสโปเตเมีย
คือ แม่น้ำไทกริส (Tigris)
และแม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates) ไหลไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่อ่าวเปอร์เซีย
(ดูแผนที่) แม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรติสไหลท่วมโสโปเตเมียอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี
ในขณะที่น้ำหลากลดลง ก็ทิ้งกองโคลนตะกอนหนาไว้ ซึ่งเรียกว่า ดินตกตะกอน เกษตรกรก็ปลูกข้าวในดินอันอุดมสมบูรณ์ใหม่นี้และเอาน้ำในแม่น้ำลดทุ่งนา
ผลก็คือมีข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ปริมาณมากในฤดูเก็บเกี่ยว ส่วนที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวก็จัดสรรให้คนหมู่บ้านเอาไปปลูก
ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งแรกผู้คนเริ่มตั้งหลักแหล่งและทำการเกษตรตรงดินแดนเป็นที่ราบแอ่งน้ำในเมโสโปเตเมียทางตอนใต้มาก่อน
4500 ปีก่อนคริสตกาล ประมาณ 3300 ปีก่อนคริสตกาล ผู้คนที่เรียกว่า สุเมเรีย หรือ
ซูเมอร์ (Sumerians
– Sumer) ก็เดินทางมาถึงบริเวณนี้ ดินดีเป็นประโยชน์ได้ดึงดูดผู้ตั้งหลักแหล่งเหล่านี้
แต่ก็มีข้อเสียสามอย่างกับสภาพแวดล้อมใหม่ของพวกเขา คือ
• เกิดน้ำท่วมแบบคาดเดาไม่ได้
ประกอบกับช่วงเวลาที่ฝนตกน้อยหรือไม่มีฝนเลย บางครั้งแผ่นดินแทบจะกลายเป็นทะเลทราย
• ไม่มีแนวเขตแดนตามธรรมชาติสำหรับการป้องกัน
หมู่บ้านชาวสุเมเรียเกือบไม่สามารถป้องกันตนเองได้
• ทรัพยากรธรรมชาติของชาวซูเมอร์มีข้อจำกัด
วัสดุก่อสร้างและสิ่งที่จำเป็นอื่น ๆ ยังขาดแคลน
เมื่อ 2500 ปีก่อนคริสตกาล
อ่าวเปอร์เซียมีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เมื่อเวลาผ่านไป แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสได้ไหลเข้าหากันและถมบริเวณที่ตื้นนี้
เส้นสีฟ้าด้านบนคือชายฝั่งทะเลในสมัยโบราณ
การแก้ไขปัญหาผ่านองค์กร เมื่อระยะเวลายาวนานผ่านไป ชาวซูเมอร์ก็ได้สร้างวิธีการเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้
• การจัดหาน้ำ
พวกเขาจะขุดคูน้ำชลประทาน นำน้ำในแม่น้ำไปยังทุ่งนาของพวกเขาและใช้น้ำผลิตพืชผลจนเหลือล้น
• ด้านการป้องกัน
พวกเขาจะสร้างกำแพงเมืองด้วยอิฐโคลน
• ชาวสุเมเรียได้ค้าขายข้าว
ผ้าและเครื่องมือประดิษฐ์กับชาวเขาและชาว
กิจกรรมเหล่านี้จำเป็นต้องมีองค์กร
ความร่วมมือและความเป็นผู้นำ มันต้องใช้ใช้คนทำงานร่วมกันจำนวนมาก
ยกตัวอย่างเช่น ชาวสุเมเรียจะสร้างระบบชลประทานขนาดใหญ่ของพวกเขา
เหล่าผู้นำมีความจำเป็นในการวางแผนโครงการและกำกับดูแลการขุด โครงการเหล่านี้ยังสร้างความต้องการกฎหมายเพื่อระงับข้อพิพาทมากกว่าวิธีการแจกจ่ายที่ดินและน้ำ
ผู้นำและกฎหมายเหล่านี้ คือจุดเริ่มต้นของการปกครองที่มีการจัดระเบียบและในที่สุดก็เป็นการเริ่มต้นอารยธรรม
|
ชาวสุเมเรียสร้างนครรัฐ
ชาวสุเมเรียมีความโดดเด่นในประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นคนกลุ่มแรกกลุ่มหนึ่งในการก่อตั้งอารยธรรม
คุณลักษณะสำคัญ 5 ประการ ได้แยกชาวสุเมเรียออกจากจากสังคมมนุษย์ยุคแรก
คือ
(1) บ้านเมืองมีความเจริญรุดหน้า
(2) คนงานมีลักษณะพิเศษ
(3) ขนบประเพณีมีความสลับซับซ้อน
(4) การเก็บบันทึกและ
(5) เทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนา
ประชาชนในยุคต่อมาทั้งหมด
ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ของโลกได้สร้างนวัตกรรมจากอารยธรรมของชาวสุเมเรีย
ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล
ชาวสุเมเรียได้สร้างเมืองขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ละเมืองล้อมไปด้วยทุ่งข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี
แม้ว่าเมืองเหล่านี้จะมีวัฒนธรรมแบบเดียวกัน ก็มีการพัฒนาการปกครองเป็นของตัวเอง
แต่ละเมืองก็มีผู้ปกครองเป็นของตัวเอง เมืองแต่ละเมืองและที่ดินรอบ ๆ เมือง
มีการปกครองรูปแบบ นครรัฐ นครรัฐมีภารกิจมากเหมือนกับประเทศเอกราชในปัจจุบันนี้ นครรัฐของชาวสุเมเรียน ประกอบด้วย เมืองอุรุก
(Uruk) คีช (Kish) ลากาซ (Lagash) อุมมา (Umma) และอูร์ (Ur) ในเมืองอูร์ ศูนย์กลางของเมืองของชาวสุเมเรียทั้งหมด
คือวิหารที่มีแพงล้อมรอบด้วยซิกกุรัต
(ziggurat – มีลักษณะคล้ายพีระมิดแบบขั้นบันไดแต่ด้านบนเป็นพื้นราบ
– ดูภาพ) อยู่ตรงกลาง มีพระสงฆ์และผู้ปกครองอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อความเป็นอยู่ดีของนครรัฐ
พระและผู้ปกครองร่วมกันปกครอง การปกครองในยุคแรกสุดของซูเมอร์
จะปกครองโดยนักบวชในวิหาร เกษตรกรเชื่อว่าความสำเร็จของการปลูกพืชของพวกเขาขึ้นอยู่กับพรของพระเจ้าและพระสงฆ์ก็ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางกับพระเจ้า ซิกกุรัตนอกจากจะเป็นสถานที่เคารพบูชาแล้ว ก็เป็นเหมือนศาลากลาง
(หรือศูนย์กลางของเมือง) นักบวชจะมีการจัดการระบบชลประทานจากซิกกุรัต นักบวชจะเรียกร้องส่วนแบ่งพืชพันธุ์ของเกษตรกรทุกคนเป็นภาษี
อย่างไรก็ตาม
ในช่วงสงคราม นักบวชไม่ได้เป็นผู้นำเมือง แต่ชาวเมืองจะเลือกนักสู้ที่แข็งแรงทนทานผู้ที่สามารถบัญชาการเหล่าทหารของเมืองได้
ครั้งแรก อำนาจของผู้บัญชาการจะสิ้นสุดลงในทันทีที่สงครามสิ้นสุดลง หลังจาก 3000
ปีก่อนคริสตกาล สงครามระหว่างเมืองได้มีมากขึ้นและบ่อยขึ้น
นักบวชและประชาชนชาวสุเมเรีย จะมอบการปกครองกองทัพประจำการอย่างถาวรให้กับผู้บัญชาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในที่สุด ผู้นำทหารบางส่วนก็กลายเป็นผู้ปกครองประจำ
ผู้ปกครองเหล่านี้มักจะถ่ายทอดอำนาจของพวกเขาไปยังลูกหลาน ซึ่งท้ายที่สุดก็ถ่ายทอดไปยังทายาทของตัวเอง
ลำดับของผู้ปกครองจากครอบครัวเดียวนั้น เรียกว่า ราชวงศ์ หลังจาก2500
ปีก่อนคริสตกาล นครรัฐของชาวสุเมเรียกลายแห่งก็เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์
การขยายตัวของเมือง นครรัฐของชาวสุเมเรียได้ขยายตัวเจริญรุ่งเรืองจากอาหารที่ล้นเหลือซึ่งผลิตในทุ่งนาของพวกเขา
อาหารที่ล้นเหลือเหล่านี้ทำให้ชาวสุเมเรียพัฒนาการค้าขายในระยะยาว การแลกเปลี่ยนอาหารพิเศษและสินค้าอื่น ๆ กับวัตถุดิบที่พวกเขาต้องการ
ประมาณ 2500
ปีก่อนคริสตกาล เมืองใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นไปทั่วดินแดนพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งปัจจุบันก็คือ
ซีเรีย อิรักตอนเหนือ และตุรกี ชาวสุเมเรียนได้แลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และแนวความคิดกับวัฒนธรรมใกล้เคียง
เช่น การดำเนินชีวิตในเมือง กระบวนการนี้ซึ่งเป็นแนวความคิดใหม่ ๆ หรือผลิตภัณฑ์
ที่เผยแพร่จากวัฒนธรรมหนึ่งไปยังอีกวัฒนธรรมหนึ่ง เรียกว่า การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม
|
แผนที่ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว (Fertile Crescent) |
วัฒนธรรมสุเมเรีย
(หรือสุเมเรียน)
ระบบความเชื่อ โครงสร้างทางสังคม
เทคโนโลยีและศิลปะของชาวสุเมเรีย สะท้อนให้เห็นถึงความประสบความสำเร็จแห่งอารยธรรมของพวกเขาเหนือสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งและที่รุนแรง
ศาสนาแหงเทพเจ้าหลายองค์ ชาวสุเมเรียเหมือนกับผู้คนมากมายในดินแดนพระจันทร์เสี้ยว
เชื่อว่า เทพเจ้าต่าง ๆ มากมายควบคุมบังคับบัญชาสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ
ความเชื่อในเทพเจ้ามากกว่าหนึ่ง (polytheism) เอนลิล (Enlil)
เป็นเทพเจ้าแห่งพายุและอากาศ เป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่มีอำนาจมากที่สุด
ชาวสุเมเรียเกรงกลัวเทพเจ้าตนนั้น ในฐานะเป็น
"กระแสน้ำท่วมที่บ้าคลั่งที่ไม่มีคู่แข่ง" ปีศาจชื่อ อูกัลลู (Ugallu)
ปกปักษ์คุ้มครองมนุษย์จากปีศาจร้ายที่ก่อให้เกิดโรค ความโชคร้ายและความทุกข์ยาก
ชาวสุเมเรียอธิบายเทพเจ้าของพวกเขาว่าทำได้หลายสิ่งเช่นเดียวกันกับที่มนุษย์ทำได้
การตกหลุมรัก การมีบุตร การทะเลาะกันและอื่น ๆ อนึ่ง ชาวสุเมเรียยังเชื่อว่าเทพเจ้าของพวกเขาเป็นอมตะและมีอำนาจไม่จำกัด
มนุษย์ไม่ได้เป็นอะไร แต่เป็นคนรับใช้ของเทพเจ้า เวลาใดก็ได้ ความโกรธอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอาจจะโจมตี
ด้วยการสั่งให้ไฟไหม้ น้ำท่วมหรือศัตรูเพื่อทำลายเมือง เพื่อทำให้เทพเจ้าพอพระทัย ชาวสุเมเรียจึงได้สร้างซิกกุรัตที่งดงามน่าประทับใจบูชาเทพเจ้าเหล่านั้นและสังเวยสัตว์
อาหารและไวน์มากมาย
ชาวสุเมเรียได้ทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้าในชาตินี้
พวกเขาก็ยังคาดหวังความช่วยเหลือเล็ก ๆ
น้อย ๆ จากเทพเจ้าหลังจากสิ้นชีพ ชาวสุเมเรียเชื่อว่าดวงวิญญาณของคนตายจะไปสู่
"สถานที่ที่ไม่มีวันกลับหรือที่เทพเจ้าทั้งหลายสถิตอยู่ - land of no return – ผู้รู้โปรดแนะนำ" ซึ่งเป็นสถานที่มืดมนอนธการซึ่งอยู่ระหว่างเปลือกโลกและทะเลโบราณ
ไม่มีความสุขที่รอคอยวิญญาณ บทความในบทกวีของชาวสุเมเรียอธิบายชะตากรรมของวิญญาณผู้ตายว่า
"ฝุ่นธุลีเป็นค่าโดยสารของพวกเขาและดินเหนียวเป็นอาหารของพวกเขา"
บางส่วนของคำบรรยายที่สมบูรณ์ที่สุดของเรื่องปรัมปราและตำนานของชาวเมโสโปเตปรากฏในบทกวียาวที่เรียกว่า
มหากาพย์กิลกาเมช (Epic of Gilgamesh)
|
การดำเนินชีวิตในสังคมสุเมเรีย สิ่งที่เราเรียกว่าชนชั้นทางสังคม
เริ่มต้นมาพร้อมกับอารยธรรม กษัตริย์ ศักดินาและนักบวชบางพวก
เป็นชนชั้นสูงสุดในสังคมสุเมเรีย พ่อค้ามหาเศรษฐีอยู่อันดับต่อไป ชาวสุเมเรียที่เป็นสามัญส่วนใหญ่เป็นอันมากทำงานด้วยมือของตนเองในทุ่งนาและสถานที่ทำงาน สังคมชั้นต่ำที่สุดของชาวสุเมเรีย คือ ทาส
ทาสบางคนเป็นชาวต่างชาติที่ถูกจับตัวมาจากสงคราม ทาสนอกนั้น
คือชาวสุเมเรียผู้ที่ถูกขายไปเป็นทาสตั้งแต่เป็นเด็ก เพื่อชำระหนี้ของพ่อแม่ผู้ยากจนของตนเอง
ทาสที่เป็นหนี้มีความหวังว่าจะซื้อเสรีภาพของตนเองได้ในที่สุด
ชนชั้นทางสังคมมีผลกระทบต่อชีวิตทั้งแก่ผู้ชายและหญิง
ผู้หญิงชาวสุเมเรียสามารถทำงานเป็นพ่อค้า เกษตรกรหรือช่างฝีมือได้ พวกหล่อนสามารถถือครองทรัพย์สมบัติในนามของตัวเองได้
ผู้หญิงก็ยังสามารถบวชเป็นพระได้ ผู้หญิงชั้นสูงบางคนเรียนอ่านและเขียนได้ แม้ว่าบันทึกของชาวสุเมเรียนที่เขียนไว้จะพูดถึงเสมียนหญิงเพียงสองสามคน
แต่ผู้หญิงชาวสุเมเรียก็มีสิทธิมากกว่าผู้หญิงในหลายอารยธรรมยุคต่อมา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาวสุเมเรีย นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า ชาวสุเมเรีย ได้ประดิษฐ์ล้อรถ
เรือใบและไถ และเชื่อว่า ชาวสุเมเรียอยู่ในกลุ่มแรกที่สำริด ความคิดใหม่ ๆ
และสิ่งประดิษฐ์มากมาย เกิดขึ้นจากความต้องการนำมากใช้งานของชาวสุเมเรีย
• คณิตศาสตร์และเรขาคณิต เพื่อจะสร้างกำแพงเมืองและอาคาร
แผนระบบชลประทานและการสำรวจน้ำท่วมนา ชาวสุเมเรียต้องการคณิตศาสตร์และรูปทรงเรขาคณิต
พวกเขาพัฒนาระบบเลขฐาน 60 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดหน่วยวัดสมัยใหม่สำหรับวัดเวลา
(60 วินาที = 1 นาที) และ 360 องศาของวงกลม
•
นวัตกรรมทางสถาปัตยกรรม ส่วนโค้ง เสา ทางลาดและปิรามิดเลียนแบบรูปทรงของซิกกุรัตและมีอิทธิพลต่ออารยธรรมเมโสโปเตอย่างถาวร
•
อักษรรูปลิ่มหรือคูนิฟอร์ม (Cuneiform) ชาวสุเมเรียสร้างระบบการเขียน สิ่งแรกที่พวกเขาเขียนซึ่งเป็นที่รู้จักกัน คือแผนที่
สร้างขึ้นบนแผ่นดินเหนียว เมื่อประมาณ 2300 ก่อนคริสตกาล แผ่นจากรึกอื่น ๆ
ประกอบด้วยทึกวิธีการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่เขียนไว้เก่าแก่ที่สุดบางส่วนในสาขาวิชาดาราศาสตร์
เคมีและแพทยศาสตร์
|
ผู้สร้างจักรวรรดิแห่งแรก
นับตั้งแต่
3000 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาล, นครรัฐของชาวซุเมอร์ทำสงครามกับนครรัฐอื่น
ๆ เกือบตลอดเวลา นครรัฐที่อ่อนแอไม่สามารถปกป้องการโจมตีจากผู้คนจากทะเลทรายและภูเขาที่อยู่รอบ
ๆ แม้ว่าชาวสุเมเรียไม่เคยยึดเอาเมืองคืนจากการโจมตีได้เลย
อารยธรรมของพวกเขาก็ไม่ได้สูญสิ้น ลำดับผู้ปกครองที่ประสบผลสำเร็จได้รับเอาแนวความคิดพื้นฐานของวัฒนธรรมสุเมเรียเพื่อจัดการความต้องการของพวกเขาเอง
ซาร์กอนแห่งแอกแคท (Sargon of Akkad) ประมาณ 2350 ปีก่อนคริสตกาล ผู้พิชิต ชื่อ ซาร์กอน ได้พิชิตนครรัฐของซูเมอร์ ซาร์กอนได้นำกองทัพแอกแคท
(Akkad) ซี่งเป็นเมืองทางตอนเหนือของซูเมอร์ อักคาเดีย (Akkadian)
ได้รับเอาแง่คิดของวัฒนธรรมสุเมเรียเป็นส่วนมากเป็นเวลายาวนานมาก่อน
ชัยชนะของซาร์กอนได้ช่วยให้วัฒนธรรมนั้นเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง ไกลไปถึงลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส
เมื่อเข้าปกครองเมโสโปเตเมียทั้งทางตอนเหนือและตอนใต้
ซาร์กอน ก็ได้สร้างจักรวรรดิแห่งแรกของโลก จักรวรรดิได้รวบรวมผู้คน ชาติ หรือรัฐอิสระก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน
ภายใต้การปกครองของผู้ปกครองผู้เดียว ในจุดสูงสุดของจักรวรรดิ
จักรวรรดิอักคาเดีย ได้ปกครองตั้งแต่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางทิศตะวันตกจนถึงอิหร่านในปัจจุบันทางทิศตะวันออก
ราชวงศ์ซาร์กอนก็ดำรงอยู่เพียงประมาณ 200 ปี หลังจากนั้นก็ล่มสลายเนื่องจากการต่อสู้ภายใน
การรุกรานและความอดอยาก
จักวรรดิบาบิโลเยียน (Babylonian Empire) เมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาล นักรบเร่ร่อน ที่เรียกกันว่า อามอไรต์ (Amorite) ได้บุกเมโสโปเตเมีย ชาวอามอร์ไรต์ค่อย
ๆ พิชิตชาวสุเมเรียและจัดตั้งเมืองหลวงที่บาบิโลน
(Babylon) บนฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส
จักรวรรดิบาบิโลเนีย ได้เจริญถึงจุดสูงสุดในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี
(Hammurabi) ตั้งแต่
1792 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง 1750 ปีก่อนคริสตกาล
มรดกที่ยั่งยืนที่สุดของฮัมมูราบี คือ
ประมาวลกฎหมายที่พระองค์รวบรวมขึ้น
ประมวลกฎหมายของฮัมมูราบี (Hammurabi’s Code) พระเจ้าฮัมมูราบียอมรับว่า
ประมวลกฎหมายที่เป็นอันเดียวกันหมดหนึ่งเดียว จะช่วยรวมกลุ่มต่าง ๆ ภายในอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ได้รวบรวมระเบียบ คำพิพากษา
และกฎหมายที่มีอยู่เข้าเป็นประมวลกฎหมายฮัมมูราบี ฮัมมูราบีได้รับสั่งให้แกะสลักประมวลกฎหมายในหินและคัดลอกสำเนาไว้ทั่วอาณาจักรของพระองค์
|
ประมวลกฎหมายมีกฎหมายเฉพาะ
282 รายการ ว่าด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มีผลกระทบต่อชุมชน รวมทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัว
การดำเนินธุรกิจและอาชญากรรม เนื่องจากคนจำนวนมากเป็นพ่อค้า ผู้ประกอบการค้าหรือเกษตรกร
ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายหลายข้อเกี่ยวข้องกับปัญหาทรัพย์สมบัติ นอกจากนี้กฎหมาย ยังพยายามปกป้องผู้หญิงและเด็กจากการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
กฎหมายบอกเล่าแบบฉบับอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความเชื่อและสิ่งที่มีคุณค่าแก่พวกเรา
แม้ว่าประมวลกฎหมายจะประยุกต์ใช้กับทุกคน
ก็มีการลงโทษแตกต่างกันระหว่างคนรวยกับคนจนและระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง มีการนำหลักการการแก้แค้น
(ตาต่อตาฟันต่อฟัน) มาใช้บ่อยในการลงโทษอาชญากรรม
อารัมภบทของประมวลกฎหมาย
ได้กำหนดเป้าหมายสำหรับตัวบทกฎหมายนี้ กฎหมายบอกว่า "จะนำกฎแห่งความชอบธรรมเข้ามาใช้ในประเทศ
จะทำลายคนชั่วและคนทำชั่ว เพื่อให้ผู้ที่แข็งแรงไม่ควรเป็นอันตรายต่อผู้ที่อ่อนแอ" ดังนั้น ประมวลกฎหมายฮัมมูราบีจึงเสริมหลักการที่ว่า
รัฐบาลมีความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ตัวอย่างเช่น ถ้าคนที่ถูกปล้นและขโมยไม่ถูกจับ
รัฐบาลจะต้องชดเชยให้ผู้ที่เป็นเหยื่อ
เกือบสองศตวรรษหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี
จักรวรรดิบาบิโลเนียนซึ่งได้กลายเป็นจักรวรรดิที่มีขนาดเล็กมาก ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของชาวคัสไซต์
(Kassites)
ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง หลายปีผ่านไป กลุ่มใหม่ก็เข้าครอบครองดินแดนพระจันทร์เสี้ยว
แต่ผู้คนในยุคต่อมา รวมทั้งชาวอัสซีเรีย ชาวฟินิเซียและชาวฮีบรูได้รับเอาความคิดหลายอย่างของชาวสุเมเรียมาใช้
ในขณะเดียวกัน ก็เกิดเหตุการณ์คล้ายกันในทางด้านตะวันตก คือ การพัฒนา
การเจริญรุ่งเรืองแล้วล่มสลาย ตามแนวแม่น้ำไนล์ในอียิปต์
|
|
|
ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
(Hammurabi’s
Code of Laws)
ในภาพคือเสาหินที่สลักประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
ประมวลกฎหมายฮัมมูราบีบัญญัติการลงโทษที่กำหนดตั้งแต่ค่าปรับไปถึงการประหาร
การลงโทษมักจะอยู่บนพื้นฐานของชนชั้นทางสังคมของเหยื่อ
นี่คือตัวอย่างบางส่วนของกฎหมาย:
8. ถ้าผู้ใดขโมยวัว แกะ หมูหรือเรือที่อยู่ในวัดหรือวัง
ผู้นั้นจะต้องชำระคืนสามสิบเท่า ถ้าเป็นของประชาชน เขาจะชำระคืนสิบเท่า
ถ้าขโมยไม่สามารถจ่ายเงิน เขาจะถูกนำไปประหาร
142. ถ้าผู้หญิงเกลียดสามีของเธอและพูดกับเขาว่า
"คุณไม่สามารถจะอยู่กับฉันได้" เจ้าหน้าที่ในอำเภอของเธอจะพิจารณาคดี
หากเธอเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่มีความผิด แม้ว่าสามีของเธอจะทอดทิ้งหรือดูหมิ่นของเธอ
เธอจะได้รับพิจารณาว่าผู้บริสุทธิ์และอาจจะกลับไปที่บ้านของพ่อของเธอได้
143
ถ้าผู้หญิงมีความผิด เธอจะถูกโยนลงไปในแม่น้ำ
196.
ถ้าชายคนหนึ่งเป็นเหตุให้ชายอีกคนหนึ่งสูญเสียนัยน์ตา ลูกนัยน์ตาของชายคนนั้นจะถูกควักออกมา
198. ถ้าเขาควักนัยน์ตาของอิสรชนหรือหรือทุบกระดูกของอิสรชน
เขาจะต้องจ่ายทอง 1 แท่ง
199. ถ้าเขาควักนัยน์ตาของทาสของมนุษย์หรือทำลายกระดูกของทาสของมนุษย์
เขาจะต้องจ่ายมูลค่าครึ่งหนึ่ง
ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี