ประชาชนยุคต่อมาในดินแดนพระจันทร์เสี้ยว
|
||
แม้ว่าเมืองอูร์จะเจริญรุ่งเรืองหลังจากกษัตริย์ซาร์กอนสิ้นพระชนม์
ชนจากภายนอกก็เข้ามาโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเมืองอูร์หมดสิ้นความแข็งแกร่ง เมื่อ
2000 ปี ก่อนคริสตกาล เมืองอูร์เหลืออยู่แต่ซากปรักหักพัง เมื่อเมืองอูร์เสื่อมอำนาจ
ก็มีผู้บุกรุกหลายระลอกเข้าโจมตีเพื่อครอบครองดินแดนเมโสโปเตเมีย
|
||
กำเนิดบาบิโลน
กรุงบาบิโลนก็มีถิ่นกำเนิดในดินแดนเดียวกันนั้น
เมืองนั้นตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยูเฟรติสใกล้กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ในปัจจุบัน กรุงบาบิโลนเคยเป็นเมืองขึ้นของชาวสุเมเรียน
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ 1800 ปี ก่อนคริสตกาล กรุงบาบิโลนก็มีการปกครองที่เข้มแข็งเป็นของตนเอง
เมื่อ 1792 ปี ก่อนคริสตกาล ฮัมมูราบี (Hammurabi) กลายเป็นกษัตริย์ของบาบิโลน
พระองค์กลายเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมือง
เป็นนักปกครองแห่งราชอาณาจักรหรือจักรวรรดิ
ประมวลกฎหมายของฮัมมูราบี
(Hammurabi’s
Code)
กษัตริย์ฮัมมูราบีเป็นผู้นำในสงครามที่ฉลาดหลักแหลม
กองทัพของพระองค์ได้ต่อสู้สงครามมากมายเพื่อขยายอำนาจของพระองค์ ในที่สุด
พระองค์ก็ได้นำดินแดนเมโสโปเตเมียทั้งหมดเป็นจักรวรรดิ เรียกว่า
จักรวรรดิบาบิโลเนียน (Babylonian
Empire) ตามชื่อเมืองหลวง
ทักษะความสามารถของกษัตริย์ฮัมมูราบีไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในสนามสงครามเท่านั้น
พระองค์ยังเป็นนักปกครองที่มีความสามารถปกครองจักรวรรดิอันใหญ่โตมโหฬาร พระองค์ได้ตรวจตราอาคารและโครงการชลประทานมากมายและปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีของบาบิโลนเพื่อช่วยจ่ายในการทำโครงการเหล่านั้น
พระองค์ยังได้นำความเจริญรุ่งเรืองมาให้กับจักรวรรดินด้วยการค้าขายที่เจริญเติบโตขึ้นเรื่อย
ๆ อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ฮัมมูราบีก็ยังมีชื่อเสียงมากที่สุดเกี่ยวกับประมวลกฎหมายของพระองค์ด้วย
ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
คือ ชุดของกฎหมาย 282 ข้อ ว่าด้วยการดำเนินชีวิตประจำวันเกือบทุกส่วน มีกฎหมายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างจากการค้าขาย
การกู้ยืม และความผิดเกี่ยวกับการแต่งงาน การประทุษร้าย และการฆาตกรรม
ประกอบด้วยแนวความคิดบางอย่างที่ยังพบเห็นอยู่ในกฎหมายทั้งหลายในปัจจุบันนี้ อาญากรรมเฉพาะก็นำไปสู่การลงโทษเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม ชนชั้นทางสังคมก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
การประทุษร้ายคนรวยก็มีบทลงโทษมากกว่าการประทุษร้ายคนจน
ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
มีความสำคัญ ไม่เพียงแต่เป็นกฎหมายที่มีความละเอียดถี่ถ้วนเท่านั้น
แต่ยังมีความสำคัญเนื่องจากเป็นกฎหมายที่เขียนไว้ให้ทุกคนได้เห็น
ประชาชนทุกคนทั่วจักรวรรดิสามารถอ่านอย่างแท้จริงว่าอะไรเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับกฎหมาย
กษัตริย์ฮัมมูราบีปกครองเป็นเวลา
42 ปี ในระหว่างรัชสมัยของพระองค์ กรุงบาบิโลนกลายเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในดินแดนเมโสโปเตเมีย
อย่างไรก็ตาม หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ อำนาจของบาบิโลนก็เสื่อมลง กษัตริย์หลายองค์ต่อมาก็เผชิญกับการรุกรานจากผู้คนที่กษัตริย์ฮัมมูราบีเคยพิชิตมาก่อน
ในไม่ช้า จักรวรรดิบาบิโลเนียนก็ถึงกาลอวสาน
การรุกรานดินแดนเมโสโปเตเมีย
อารยธรรมอื่น
ๆ มากมายยังพัฒนาทั้งภายในและรอบ ๆ ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว ในขณะที่กองทัพเหล่านั้นต่อสู้กันเพื่อแย่งดินแดนพระจันทร์เสี้ยว
การปกครองภูมิภาคนี้ก็เปลี่ยนผ่านจากจักรวรรดิหนึ่งไปยังอีกจักรวรรดิหนึ่ง
|
ฮิตไทต์และคัสไซต์ (The Hittites and Kassites)
ผู้คนที่เรียกกันว่า
ฮิตไทต์ (Hittite) ได้สร้างอาณาจักรอันเข้มแข็งในเอเชียไมเนอร์ (Asia Minor) ซึ่งปัจจุบันคือประเทศตุรกี พวกฮิตไทต์ประสบผลสำเร็จ บางส่วน
มาจากความได้เปรียบทางด้านทหารเป็นสำคัญสองประการ คือ ประแรก ชาวฮิตไทต์เป็นคนพวกแรกที่เรียนรู้การทำเหล็ก
ทำให้พวกเขาสามารถทำอาวุธได้แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น ประที่สอง ชาวฮิตไทต์ใช้รถมีสองล้อเทียมด้วยม้าสำหรับใช้ในการทำสงครามได้ช่ำชองมาก
รถเหล่านั้นทำให้ทหารฮิตไทต์เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วไปรอบ ๆ
สนามรบและยิงลูกศรใส่ศัตรูของพวกเขา ด้วยความได้เปรียบเหล่านี้
ชาวฮิตไทต์จึงยึดกรุงบาบิโลนได้เมื่อประมาณ 1595 ปี ก่อนคริสตกาล
อย่างไรก็ตาม
พวกฮิตไทต์ปกครองอยู่ได้ไม่นาน ในไม่ช้า หลังจากยึดกรุงบาบิโลนได้
กษัตริย์ฮิตไทต์ก็ถูกชาวอัสซีเรียฆ่า อาณาจักรก็ตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งเหยิง พวกกัสไซต์
ซึ่งเป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของกรุงบาบิโลน
ก็เข้ายึดเมืองและปกครองเป็นเวลาเกือบ 400 ปี
ชาวอัสซีเรีย (Assyrian)
ต่อมา
ในศตวรรษที่ 1200 ก่อนคริสตกาล ชาวอัสซีเรีย จากทางตอนเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมีย
ก็เข้าปกครองกรุงบาบิโลน อย่างไรก็ตาม
จักรวรรดิของพวกเขาก็ถูกยึดครองโดยผู้บุกรุกในไม่ช้า หลังจากความพ่ายแพ้นี้
ชาวอัสซีเรียก็ใช้เวลาถึง 300 ปี ในการฟื้นฟูความแข็งแกร่งขึ้นมาใหม่ ครั้นแล้ว
เมื่อเริ่มขึ้นประมาณ 900 ปี ก่อนคริสตกาล พวกเขาก็เริ่มพิชิตดินแดนพระจันทร์เสี้ยวได้ทั้งหมด
และยังยึดเอเชียไมเนอร์พร้อมทั้งอียิปต์ได้บางส่วน
ปัจจัยสำคัญที่ให้ชาวอัสซีเรียประสบผลสำเร็จคือกองทัพอันเข้มแข็ง
ชาวอัสเซียเหมือนกับชาวฮิตไทต์ ได้ใช้อาวุธเหล็กและรถสองล้อเทียมม้า
กองทัพมีการจัดการเป็นอย่างดีมาก และทหารทุกคนรู้จักระเบียบวินัย
ชาวอัสซีเรียเป็นพวกที่ดุร้ายป่าเถื่อนในการทำสงคราม
ก่อนจะโจมตี พวกเขาจะแผ่ขยายความน่าสะพรึงกลัว
ด้วยการบุกปล้นสะดมหมู่บ้านและเผาพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ใครก็ตามที่ยังกล้าหาญต่อต้านพวกเขาก็จะถูกฆ่า
หลังจากพิชิตดินแดนพระจันทร์เสี้ยวแล้ว
ชาวอัสซีเรียก็ปกครองตั้งแต่เมืองไนน์เวห์ (Nineveh) พวกเขาต้องการภาษีเป็นอย่างมากจากทั่วจักรวรรดิ
บริเวณที่ต่อต้านความต้องการนี้ก็จะถูกลงโทษอย่างแสนสาหัส
กษัตริย์อัสซีเรียปกครองจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ไพศาลผ่านทางผู้นำท้องถิ่น
ผู้นำแต่ละคนก็ปกครองพื้นที่เล็ก ๆ เก็บภาษี ออกบังคับกฎหมาย และสะสามกองทัพ
ถนนหลายสายถูกสร้างขึ้นเชื่อมต่อส่วนของจักรวรรดิที่อยู่ห่างไกล ผู้นำข่าวสาส์นจะขี่ม้าไปส่งข่าวยังสถานที่ราชการที่อยู่ห่างไกลออกไป
|
จักรวรรดิบาบิโลเนียและอัสซีเรีย |
ชาวคาลเดียน (The Chaldean)
เมื่อ 652 ปี
ก่อนคริสตกาล สงครามก็ปะทุขึ้นเป็นชุด ๆ ในจักรวรรดิอัสซีเรียเหนือผู้จะข้ามาปกครอง
สงครามเหล่านี้ทำให้จักรวรรดิอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก
เมื่อมีความรู้สึกว่าจะเกิดความอ่อนแอนี้
ชาวคาลเดียน (Chaldean) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มาจากทะเลทรายซีเรีย
ได้นำประชาชนพวกอื่นเข้าไปโจมตีชาวอัสซีเรีย เมื่อ 612 ปี ก่อนคริสตกาล พวกเขาก็ทำลายเมืองไนน์เวห์และจักรวรรดิอัสซีเรียลงได้
ณ ที่นั้น ชาวคาลเดียนได้จัดตั้งจักรวรรดิใหม่เป็นของตนเอง
เนบูคัดเนซซาร์ (Nebuchadnezzar) เป็นกษัตริย์คาลเดียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
ได้สร้างกรุงบาบิโลนขึ้นมาใหม่เป็นเมืองที่สวยงาม ตามตำนานเล่าว่า พระบรมมหาราชวังของพระองค์มีลักษณะเป็นสวนลอยที่มีชื่อเสียง
(Hanging Garden) ต้นไม้และดอกไม้จะปลูกบนระเบียงและหลังคาของพระราชวัง
มองจากพื้นดิน สวนจะมองดูเหมือนลอยอยู่บนอากาศ
ชาวคาลเดียนเลื่อมใสในวัฒนธรรมสุเมเรียน
พวกเขาจึงได้ศึกษาภาษาสุเมเรียนและสร้างวิหารสำหรับเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน
ในเวลาเดียวกันนั้น
กรุงบาบิโลนก็กลายเป็นศูนย์กลางทางด้านดาราศาสตร์ ชาวคาลเดียนได้วาดแผนภูมิตำแหน่งของดาวทั้งหลายและรักษาร่องรอยของเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ
การเมือง และบรรยากาศ พวกเขายังได้สร้างปฏิทินและแก้ปัญหาความสลับซับซ้อนของเราขาคณิตได้ด้วย
ชาวฟินิเซีย
(Phoenician)
ในปลายสุดด้านวันตกของดินแดนพระจันทร์เสี้ยว
ตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีดินแดนที่เรียกว่า ฟินิเซีย (Phoenicia) ไม่ใช่ถิ่นกำเนิดของกำลังทหารอันยิ่งใหญ่และถูกรัฐบาลต่างดินแดนปกครองเป็นประจำ
แต่ทว่า ชาวฟินิเซียก็ได้สร้างสังคมการค้าขายที่มั่งคั่ง
ภูมิศาสตร์ของฟินิเซีย
ปัจจุบันนี้
ชาติเลบานอนได้ยึดครองดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฟินิเซีย
เทือกเขาที่เป็นเขตแดนภูมิภาคนั้นทอดไปทางตอนเหนือและตะวันออก
เขตแดนทางตะวันตกคือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ดินแดนฟินิเซียมีทรัพยากรเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ดินแดนแห่งนี้มีคือไม้ซีดาร์ (cedar)
ไม้ซีดาร์มีค่าสูงสำหรับทำท่อนซุง เป็นสิ้นค้าสำหรับค้าขายที่มีคุณค่า แต่เส้นทางค้าขายทางบกของฟินิเซียถูกีดกันด้วยภูเขาหลายลูกและเพื่อนบ้านที่เป็นปรปักษ์
ชาวฟินิเซียต้องมองไปยังทะเลเพื่อเป็นเส้นทางการค้าขาย
|
การค้าขายขยายตัว
ด้วยแรงขับแห่งความปราราถนาในการค้าขาย
ชาวฟินิเซียจึงกลายเป็นกะลาสีที่ชำนาญ
พวกเขาได้สร้างท่าเรือที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่เมืองไทร์ (Tyre) กองเรือค้าขายของชาวฟินิเซียวิ่งได้เร็วแล่นไปทั่วทุกท่ารอบ
ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เหล่าพ่อค้าได้เดินทางไปอิยิปต์ กรีซ อิตาลี เกาะซิซิลี
และสเปน พวกเขาเดินทางผ่านไปได้แม้กระทั่งช่องแคบยิบรอลตาร์จนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก
ชาวฟินิเซียได้ค้นพบอาณานิคมใหม่
ๆ มากมายตามเส้นทางการค้าขายของพวกเขา เมืองคาร์เธจ (Carthage) ซึ่งตั้งชายฝั่งทะเลตอนเหนือของทวีปแอฟริกา
คือเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาอาณานิคมเหล่านั้น ต่อมาเมืองคาร์เธจก็กลายเป็นเมืองที่มีอิทธิพลมากที่สุดเมืองหนึ่งบนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ฟินิเซียเจริญมั่งคั่งจากการทำมาค้าขาย
นอกจากท่อนไม้ที่เลื่อยแล้ว ชาวฟินิเซียก็ค้าขายผลงานด้านเครื่องเงิน
การแกะสลักงา และทาส วัสดุที่เป็นแก้วสวยงามยังเป็นสินค้าที่ค้าขายอันทรงคุณค่าหลังจากช่างฝีมือประดิษฐ์หัตถกรรมเครื่องแก้ว
ซึ่งเป็นศิลปะใช้ความร้อนจัดเครื่องแก้วเข้ารูป อีกประการหนึ่ง ชาวฟินิเซียได้ทำสีย้อมสีม่วงจากหอยชนิดหนึ่ง
ครั้นแล้วพวกเขาก็ได้ค้าขายผ้าที่ย้อมด้วยสีม่วงนี้ ผ้าสีม่วงของชาวฟินิเซียเป็นที่นิยมมากของคนร่ำรวย
อย่างไรก็ตาม
ความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของชาวฟินิเซียไม่ใช่ยอดเยี่ยมทางด้านการค้าขาย
เหล่าพ่อค้าชาวฟินิเซียยังได้พัฒนาอักษรชนิดแรกของโลกชนิดหนึ่งเพื่อบันทึกกิจกรรมของตนเอง
อักษรคือชุดของตัวหนังสือที่สามารถเชื่อต่อกันให้เป็นคำพูด
วิวัฒนาการด้านนี้ทำให้การเขียนง่ายมากขึ้น
มีผลกระทบที่สำคัญมากในโลกสมัยโบราณและโลกสมัยปัจจุบัน ในความเป็นจริง อักษรพวกเราใช้ เช่น
ภาษาอังกฤษ ก็มีพื้นฐานมาจากอักษรฟินิเซีย ซึ่งปรับปรุงเปลี่ยนแปลโดยอารยธรรมยุคต่อมา อารยธรรมยุคต่อมา รวมทั้งยุคของเราด้วย ได้รับผลประโยชน์จากนวัตกรรมนั้นผ่านทางพ่อค้าชาวฟินิเซีย
|
ฟินิเซีย เขตอาณานิคมและเส้นทางการค้าขาย |