แปลจาก...Word History ของ McDougal Littel
แปลโดย...ทรงศักดิ์ สายหยุด

ความสำเร็จของอินเดีย

ความสำเร็จของอินเดีย
ศิลปะด้านศาสนา
ชาวอินเดียในยุคเมารยะและคุปตะได้สร้างผลงานด้านศิลปะอย่างยิ่งใหญ่ ศิลปะเหล่านั้นส่วนมากเป็นด้านศาสนา ภาพวาดและภาพแกะสลักมากมาย วาดภาพประกอบคำสอนของฮินดูและพุทธ วัดสำคัญทั้งฮินดูและพุทธ สร้างไปทั่วอินเดีย วัดเหล่านั้นยังคงเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยที่สุดในโลกในปัจจุบัน

วั
วัดฮินดูยุคแรกเป็นโครงสร้างหินขนาดเล็ก มีหลักแบนราบและมีห้องหนึ่งหรือสองห้องเท่านั้น (เทวาลัย) แม้ว่าในยุคคุปตะ สถาปัตยกรรมของวัดสลับซับซ้อนมากขึ้น วัดในยุคคุปตะมียอดเป็นหอคอยขนาดมหึมาและเต็มไปด้วยงานแกะสลักเทพเจ้าที่เคารพนับถืออยู่ภายใน
วัดในพุทธศาสนาในราชวงศ์คุปตะยังน่าประทับใจด้วย ชาวพุทธบางส่วนจะสลักวัดทั้งหมดตามไหล่ภูเขา ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือที่ถ้ำอชันตา ช่างก่อสร้างจะสลักถ้ำเต็มไปด้วยภาพวาดฝาผนังและภาพแกะสลักอันสวยงาม
วัดทางพระพุทธศาสนาประเภทอื่น ๆ คือ สถูป สถูปมีหลังคาเป็นโดมและสร้างเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถานที่ประทับในพุทธประวัติ วัดอีกมากมายก็เต็มไปด้วยการแกะสลักลายละเอียด

ภาพวาดและประติมากรรม
ในยุคคุปตะยังพบการสร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปะอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งภาพวาดและรูปปั้น การวาดภาพเป็นอาชีพที่น่านับถือมาก และอินเดียก็เป็นถิ่นกำเนิดศิลปะที่มีทักษะความชำนาญมากมาย อย่างไรก็ตาม เราไม่รู้จักชื่อของศิลปะเหล่านั้นที่มาจากยุคนี้ เรารู้จักชื่อของสมาชิกมากมายที่รำรวยและมีอำนาจของสังคมคุปตะผู้ที่จ่ายเงินให้กับช่างศิลปะเพื่อสร้างสรรค์ผลงานแห่งความสวยงามและความสำคัญ
ภาพวาดของอินเดียหลายภาพในยุคคุปตะมีความชัดเจนและสีสันสวยงาม บางรูปแสดงการสวมใส่เครื่องเพชรพลอยสวยงามและเสื้อผ้านำสมัยอย่างสง่างาม ภาพวาดนั้นแสดงให้เห็นความรุ่งเรืองของการดำเนินชีวิตประจำวันและตามประเพณีนิยมของชาวอินเดีย
ช่างศิลป์จากทั้งสองศาสนาสำคัญของอินเดีย คือ ฮินดูและพุทธ ได้วาดความเชื่อของตนเองในการสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง เป็นผลให้มีการค้นพบภาพวาดสวยงามที่สุดของอินเดียโบราณภายในวัด ช่างวาดภาพชาวฮินดูได้วาดภาพเทพเจ้าหลายร้อยองค์บนกำแพงและทางเข้าวัด ชาวพุทธหลายคนได้วาดภาพฉากต่าง ๆ ในพุทธประวัติตามกำแพงและเพดานวัด
ประติมากรชาวอินเดียยังได้สร้างสรรค์ผลงานที่ยิ่งใหญ่ มีการสร้างรูปปั้นมากมายให้กับวัดถ้ำชาวพุทธ นอกจากเสาหินที่สลัดอย่างประณีตของวัดหลายวัดแล้ว ประติมากรก็ได้สลักรูปปั้นกษัตริย์และพระพุทธเจ้า รูปปั้นเหล่านี้บางรูปตั้งตระหง่านอยู่ทางเข้าของถ้ำ วัดฮินดูยังมีรูปปั้นเทพเจ้าน่าประทับใจ ตามความเป็นจริง กำแพงหลายแห่งของวัดบางวัด เช่น กำแพงที่วาดภาพอยู่ด้านบน จะเต็มไปด้วยการสลักและภาพวาดอย่างสมบูรณ์แบบ

วรรณคดีสันสกฤต
ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาหลักของชาวอารยันโบราณ ในยุคของเมารยะและคุปตะ ผลงานที่เป็นวรรณคดีภาษาสันสกฤตมากมายได้รับการสร้างสรรค์ขึ้น ผลงานเหล่านี้ต่อมาได้รับการแปลเป็นภาษาอื่น ๆ หลายภาษา


มหากาพย์ทางศาสนา
การเขียนด้านภาษาสันสกฤตเหล่านี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ มหากาพย์ทางด้านศาสนา อันได้แก่ มหาภารตะ และ รามายณะ  มหาภารตะซึ่งยังคงเป็นที่นิยมในอินเดีย เป็นผลงานด้านวรรณคดีที่ยาวที่สุดของโลกผลงานหนึ่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความพยายามของตระกูล 2 ตระกูลเพื่อปกครองราชอาณาจักร ภายในเรื่องราวมีคำสอนยาว ๆ เกี่ยวกับความเชื่อในศาสนาฮินดูมากมาย มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ภควัตคีตา
            รามายณะ ตามประเพณีของฮินดูเขียนขึ้นก่อนมหาภารตะ เล่าเรื่องเกี่ยวกับเจ้าชาย นามว่า ราม ในความเป็นเป็นจริง เจ้าชายคือพระวิษณุเจ้า (หรือพระนารายณ์) ที่อวตารมาในร่างมนุษย์ พระองค์กลายเป็นมนุษย์เพื่อมาปราบโลกของอสูรร้าย พระองค์ยังต้องช่วยพระชายา ซึ่งเป็นเจ้าหญิง นามว่า สีดา (สิตา แปลว่า รอยไถ ตามเรื่องเล่าบอกว่า ฤษีไปพบนางสีดาในรอยไถจึงเก็บมาเลี้ยงและตั้งชื่อว่า สิตา ไทยเรียก สีดา) เป็นเวลาหลายศตวรรษ บทบาทของมหากาพย์ รามายณะ มองดูเหมือนเป็นแบบอย่างพฤติกรรมของชาวอินเดีย ยกตัวอย่างเช่น พระรามดูเป็นนักปกครองในอุดมคติ และความสัมพันธ์ของพระองค์กับนางสีดาเป็นเหมือนการแต่งงานในอุดมคติ

ผลงานชิ้นอื่น ๆ
นักประพันธ์ในยุคคุปตะยังสร้างสรรค์บทละคร บทกวี และวรรณคดีอื่น ๆ ด้วย นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งแห่งยุคนี้ คือ กาลิทาส (Kalidasa) ผลงานของท่านงดงามแพรวพราวมากจนกระทั่งจันทรคุปตะที่ 2 จ้างท่านไปเขียนบทละครให้กับราชสำนัก
ครั้งหนึ่ง ก่อนคริสต์ศักราช 500 นักประพันธ์ชาวอินเดียยังได้จัดทำหนังสือเรื่องราว ที่เรียกว่า ปัญจตันตระ (Panchatantra) เรื่องราวในตำรานี้มุ่งให้เป็นบทเรียนสำหรับสอน ตำราเรียนเหล่านี้ยกย่องความเฉลียวฉลาดและความคิดที่ว่องไว แต่ละเรื่องจะจบด้วยข้อความเกี่ยวการได้รับมิตรภาพ การสูญเสียทรัพย์สมบัติ การเข้าร่วมต่อสู้ในสงคราม หรือแนวความคิดอื่น ๆ บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ข้อความด้านล่างนี้ เตือนให้ผู้ฟังทั้งหลายให้ได้คิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาจะทำก่อนลงมือปฏิบัติ
            “ความดีและความชั่วของการให้ทาน นักปราชญ์คิดต้องเปิดเผยเป็นอันดับแรก: วีรบุรุษผู้โง่เขลาเห็นลูกไก่ของตนเองหาเนื้อให้พังพอนตัวหนึ่ง”
            จาก...ปัญจตันตระ
            ในที่สุด การแปลตำรานี้ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก กลายเป็นที่นิยมไกลไปถึงยุโรป



  



 วิหารฮินดูนี้เต็มไปด้วยการแกะสลักและการประดับประดาด้วยรายละเอียดต่าง ๆ อย่างเหลือเชื่อ  มีรูปปั้นรูปเทพเจ้ามากมาย คือ เทพเจ้าที่สำคัญในศาสนาฮินดู เช่น รูปปั้นพระวิษณุ (ด้านขวา)

ในภาพวาดเรื่องรามายณะนี้ พญาวานรส่งแม่ทัพวานร คือ หนุมานไปค้นหานางสีดา หนุมานช่วยพระรามพิชิตพวกอสูร (ยักษ์) และนำนางสีดากลับมาได้ ชาวอินเดียมากมายเอาหนุมานเป็นแบบอย่างของการอุทิศตนและความจงรักภักดี

ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์
ความสำเร็จของชาวอินเดียไม่ได้จำกัดแต่ด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม และวรรณคดี นักวิชาการชาวอินเดียยังได้สร้างความก้าวหน้าที่สำคัญในด้านวิชาการทำโลหะ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ด้วย

วิชาการทำโลหะ
ชาวอินเดียโบราณเป็นนักบุกเบิก วิชาการผสมโลหะ (Metallurgy) ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ด้านการทำงานเกี่ยวกับโลหะ ความรู้ของชาวอินเดียทำให้พวกเขาสร้างเครื่องมือและอาวุธที่มีคุณภาพสูง ชาวอินเดียยังรู้จักขบวนการผสมโลหะเพื่อสร้างโลหะผสม ซึ่งเป็นการผสมโลหะสองอย่างหรือมากกว่าเข้าด้วยกัน บางครั้ง การผสมโลหะมีความหนักแน่นหรือง่ายกว่าทำงานกับโลหะที่บริสุทธิ์
ช่างโลหะได้สร้างผลผลิตที่แข็งแรงที่สุดออกมาจากเหล็ก เหล็กของอินเดียแข็งและบริสุทธิ์มาก ลักษณะเหล่านี้ทำให้เหล็กเป็นสินค้าที่ขายได้อย่างมีคุณค่า
ในช่วงราชวงศ์คุปตะ ช่างโลหะได้สร้างเสาเหล็กที่มีชื่อเสียงใกล้กรุงเดลี (Delhi) เสาเหล็กนี้ไม่เหมือนเหล็กส่วนมากซึ่งเข้าสนิมง่าย เป็นเหล็กที่ทนทานต่อการเข้าสนิมมาก เสาสูงนั้นยังคงดึงดูดเหล่าผู้คนที่มาเยี่ยมเยียน นักวิชาการศึกษาเสานี้กระทั่งถึงทุกวันนี้เพื่อเรียนรู้ความลี้ลับของชาวอินเดีย

คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ๆ
นักวิชาการยุคคุปตะยังสร้างความก้าวหน้าด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ด้วย ความจริง นักปราชญ์เหล่านั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ผู้มีความก้าวหน้าแห่งยุคเลย ท่านเหล่านั้นได้พัฒนารากฐานของระบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของพวกเรา ตัวเลขจำนวนที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน เรียกว่า ตัวเลขฮินดู-อารบิก เนื่องจากนักปราชญ์ชาวอินเดียประดิษฐ์ขึ้นและชาวอาหรับนำไปสู่ยุโรป ชาวอินเดียยังเป็นพวกแรกที่ประดิษฐ์เล็กศูนย์ (0) แม้มันจะดูเหมือนสิ่งเล็กน้อย คณิตศาสตร์สมัยใหม่ก็ทำอะไรไม่ได้ถ้าปราศจากเลขศูนย์

ชาวอินเดียโบราณยังมีทักษะในด้านแพทยศาสตร์ด้วย ในช่วงยุคแรกราวคริสต์ศตวรรษที่ 100 แพทย์หลายท่านได้เขียนความรู้ของตนเองลงเป็นสมุดคู่มือ ในบรรดาวิชาทักษะความชำนาญเหล่านั้น คู่มือเหล่านี้อธิบายการทำเภสัชจากสมุนไพรและแร่ธาตุมากมาย
นอกจากการรักษาประชาชนด้วยยาแล้ว แพทย์ชาวอินเดียก็รู้วิธีป้องกันประชาชนจากโรค ชาวอินเดีย ได้ทำวิธีปลูกฝี หรือการฉีดยาให้ประชาชนด้วยไวรัสปริมาณเล็กน้อยเพื่อช่วยเขาและหล่อนให้สร้างภูมิคุ้มกันโรค ด้วยการทำให้ไวรัสจำนวนเล็กน้อยนี้ให้พ่ายแพ้ ร่างกายก็เรียนรู้ในการป้องกันตัวเอง
สำหรับประชาชนผู้ได้รับบาดเจ็บ แพทย์ชาวอินเดียจะทำการผ่าตัด ศัลยแพทย์ได้ซ่อมแซมกระดูกที่แตกหักได้ รักษาแผล ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลที่ติดเชื้อออกได้ รักษาจมูกที่แตกหักขึ้นมาใหม่ได้ และแม้กระทั่งรักษาใบหูที่ขาดให้ติดเหมือนเดิมได้ ถ้าแพทย์เหล่านั้นไม่สามารถค้นพบการรักษาอาการเจ็บป่วยแบบอื่น ๆ ได้ เขาน่าจะใช้เวทมนตร์คาถามาช่วยรักษาประชาชนให้ฟื้นกลับได้ดังเดิม
ชาวอินเดียสนใจในวิชาดาราศาสตร์ การศึกษาดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ นับย้อนไปตั้งแต่ยุคแรกเลยทีเดียว นักดาราศาสตร์ชาวอินเดียรู้จักดาวเคราะห์เจ็ดดวงในระบบสุริยะ พวกเขารู้ว่า ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์และรู้ว่าดาวเคราะห์หมุนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ พวกเขายังรู้อีกว่า โลกเป็นรูปทรงกลมและรู้ว่าโลกหมุนรอบแกนตัวเอง อีกประการหนึ่ง พวกเขาก็สามารถทำนายสุริยคราสและจันทรคราสได้

 
งานด้านโลหะ
          ชาวอินเดียเป็นช่างทำโลหะที่ชำนาญ เหรียญทองนี้มีภาพของจันทรคุปตะ ที่ 2


 
แพทยศาสตร์
          ในภาพนี้ ศัลยแพทย์ชาวอินเดีย ที่เรียกว่า สุสรุตะ กำลังผ่าตัดคนไข้  ชาวอินเดียโบราณมีความรู้เกี่ยวกับแพทยศาสตร์
 
คณิตศาสตร์
         หนังสือเล่มนี้คัดลอกมาจากหนังสือโบราณ ตั้งแต่ ค.ศ. 500 ซึ่งรวบรวมความรู้ทางคณิตศาสตร์ พูดถึงคณิตศาสตร์ เศษส่วนและระบบการนับ

 
ดาราศาสตร์
         ชาวคุปตะสร้างสรรค์ความก้าวหน้าด้านดาราศาสตร์ แม้พวกเขาจะขาดแคลนอุปกรณ์ที่ทันสมัย  เช่น กล้องโทรทรรศน์ พวกเขาก็ใช้อุปกรณ์เหมือนในภาพนี้ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1700  เพื่อสังเกตแผนที่และดาวฤกษ์