แปลจาก...Word History ของ McDougal Littel
แปลโดย...ทรงศักดิ์ สายหยุด

นครรัฐในเมโสโปเตเมีย


นครรัฐในเมโสโปเตเมีย
แม่น้ำสองสายไหลมาจากภูเขาซึ่งปัจจุบันนี้ คือ ตุรกี ไหลผ่านซีเรียและอิรักและในที่สุดก็ไหลลงอ่าวเปอร์เซีย กว่าหกพันปีที่ผ่านมา น้ำในแม่น้ำเหล่านี้เป็นสายเลือดซึ่งก่อรูปขึ้นเป็นชุมชนเกษตรกรรม ชุมชนเหล่าก็เจริญรุ่งเรืองเป็นหมู่บ้านและเมือง
ภูมิศาสตร์แห่งดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ (Fertile Crescent)
ภูมิอากาศทะเลทรายมีอิทธิพลต่อภูมิทัศน์ระหว่างอ่าวเปอร์เซียและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ กระนั้นก็ตาม ในภูมิภาคอันแห้งแล้งที่พาดไปตามส่วนโค้งของแผ่นดินนี้ก็ยังมีบางส่วนที่ทำเกษตรกรรมได้ดีที่สุดในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ภูมิภาคที่เป็นรูปทรงโค้งและมีความอุดมสมบูรณ์ทำให้นักวิชาการเรียกว่าดินแดนแห่งนี้ว่า “พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” (Fertile Crescent)  ซึ่งรวมถึงดินแดนที่หันหน้าไปทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและพื้นที่ราบที่กลายเป็นที่รู้จักกันว่า “เมโสโปเตเมีย” (Mesopotamia)  คำนี้ในภาษากรีกหมายความว่า "ดินแดนระหว่างแม่น้ำ"
แม่น้ำที่ล้อมกรอบเมโสโปเตเมีย คือ แม่น้ำไทกริส (Tigris) และแม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates) ไหลไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่อ่าวเปอร์เซีย (ดูแผนที่) แม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรติสไหลท่วมโสโปเตเมียอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี ในขณะที่น้ำหลากลดลง ก็ทิ้งกองโคลนตะกอนหนาไว้ ซึ่งเรียกว่า ดินตกตะกอน เกษตรกรก็ปลูกข้าวในดินอันอุดมสมบูรณ์ใหม่นี้และเอาน้ำในแม่น้ำลดทุ่งนา ผลก็คือมีข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ปริมาณมากในฤดูเก็บเกี่ยว ส่วนที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวก็จัดสรรให้คนหมู่บ้านเอาไปปลูก
ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม  ครั้งแรกผู้คนเริ่มตั้งหลักแหล่งและทำการเกษตรตรงดินแดนเป็นที่ราบแอ่งน้ำในเมโสโปเตเมียทางตอนใต้มาก่อน 4500 ปีก่อนคริสตกาล ประมาณ 3300 ปีก่อนคริสตกาล ผู้คนที่เรียกว่า สุเมเรีย หรือ ซูเมอร์ (Sumerians – Sumer) ก็เดินทางมาถึงบริเวณนี้ ดินดีเป็นประโยชน์ได้ดึงดูดผู้ตั้งหลักแหล่งเหล่านี้ แต่ก็มีข้อเสียสามอย่างกับสภาพแวดล้อมใหม่ของพวกเขา คือ
เกิดน้ำท่วมแบบคาดเดาไม่ได้ ประกอบกับช่วงเวลาที่ฝนตกน้อยหรือไม่มีฝนเลย บางครั้งแผ่นดินแทบจะกลายเป็นทะเลทราย
ไม่มีแนวเขตแดนตามธรรมชาติสำหรับการป้องกัน หมู่บ้านชาวสุเมเรียเกือบไม่สามารถป้องกันตนเองได้
ทรัพยากรธรรมชาติของชาวซูเมอร์มีข้อจำกัด วัสดุก่อสร้างและสิ่งที่จำเป็นอื่น ๆ ยังขาดแคลน

เมื่อ 2500 ปีก่อนคริสตกาล อ่าวเปอร์เซียมีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เมื่อเวลาผ่านไป แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสได้ไหลเข้าหากันและถมบริเวณที่ตื้นนี้ เส้นสีฟ้าด้านบนคือชายฝั่งทะเลในสมัยโบราณ
การแก้ไขปัญหาผ่านองค์กร  เมื่อระยะเวลายาวนานผ่านไป ชาวซูเมอร์ก็ได้สร้างวิธีการเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้
การจัดหาน้ำ พวกเขาจะขุดคูน้ำชลประทาน นำน้ำในแม่น้ำไปยังทุ่งนาของพวกเขาและใช้น้ำผลิตพืชผลจนเหลือล้น
ด้านการป้องกัน พวกเขาจะสร้างกำแพงเมืองด้วยอิฐโคลน
ชาวสุเมเรียได้ค้าขายข้าว ผ้าและเครื่องมือประดิษฐ์กับชาวเขาและชาว
กิจกรรมเหล่านี้จำเป็นต้องมีองค์กร ความร่วมมือและความเป็นผู้นำ มันต้องใช้ใช้คนทำงานร่วมกันจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น ชาวสุเมเรียจะสร้างระบบชลประทานขนาดใหญ่ของพวกเขา
เหล่าผู้นำมีความจำเป็นในการวางแผนโครงการและกำกับดูแลการขุด  โครงการเหล่านี้ยังสร้างความต้องการกฎหมายเพื่อระงับข้อพิพาทมากกว่าวิธีการแจกจ่ายที่ดินและน้ำ ผู้นำและกฎหมายเหล่านี้ คือจุดเริ่มต้นของการปกครองที่มีการจัดระเบียบและในที่สุดก็เป็นการเริ่มต้นอารยธรรม

ชาวสุเมเรียสร้างนครรัฐ
ชาวสุเมเรียมีความโดดเด่นในประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นคนกลุ่มแรกกลุ่มหนึ่งในการก่อตั้งอารยธรรม  คุณลักษณะสำคัญ 5 ประการ ได้แยกชาวสุเมเรียออกจากจากสังคมมนุษย์ยุคแรก คือ
(1) บ้านเมืองมีความเจริญรุดหน้า
            (2) คนงานมีลักษณะพิเศษ
(3) ขนบประเพณีมีความสลับซับซ้อน
            (4) การเก็บบันทึกและ
(5) เทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนา
ประชาชนในยุคต่อมาทั้งหมด ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ของโลกได้สร้างนวัตกรรมจากอารยธรรมของชาวสุเมเรีย
ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวสุเมเรียได้สร้างเมืองขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ละเมืองล้อมไปด้วยทุ่งข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี แม้ว่าเมืองเหล่านี้จะมีวัฒนธรรมแบบเดียวกัน ก็มีการพัฒนาการปกครองเป็นของตัวเอง แต่ละเมืองก็มีผู้ปกครองเป็นของตัวเอง  เมืองแต่ละเมืองและที่ดินรอบ ๆ เมือง มีการปกครองรูปแบบ นครรัฐ  นครรัฐมีภารกิจมากเหมือนกับประเทศเอกราชในปัจจุบันนี้  นครรัฐของชาวสุเมเรียน ประกอบด้วย เมืองอุรุก (Uruk)  คีช (Kish) ลากาซ (Lagash)  อุมมา (Umma) และอูร์ (Ur)  ในเมืองอูร์ ศูนย์กลางของเมืองของชาวสุเมเรียทั้งหมด คือวิหารที่มีแพงล้อมรอบด้วยซิกกุรัต (ziggurat – มีลักษณะคล้ายพีระมิดแบบขั้นบันไดแต่ด้านบนเป็นพื้นราบ – ดูภาพ) อยู่ตรงกลาง มีพระสงฆ์และผู้ปกครองอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อความเป็นอยู่ดีของนครรัฐ
พระและผู้ปกครองร่วมกันปกครอง  การปกครองในยุคแรกสุดของซูเมอร์ จะปกครองโดยนักบวชในวิหาร เกษตรกรเชื่อว่าความสำเร็จของการปลูกพืชของพวกเขาขึ้นอยู่กับพรของพระเจ้าและพระสงฆ์ก็ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางกับพระเจ้า  ซิกกุรัตนอกจากจะเป็นสถานที่เคารพบูชาแล้ว ก็เป็นเหมือนศาลากลาง (หรือศูนย์กลางของเมือง) นักบวชจะมีการจัดการระบบชลประทานจากซิกกุรัต  นักบวชจะเรียกร้องส่วนแบ่งพืชพันธุ์ของเกษตรกรทุกคนเป็นภาษี
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงคราม นักบวชไม่ได้เป็นผู้นำเมือง แต่ชาวเมืองจะเลือกนักสู้ที่แข็งแรงทนทานผู้ที่สามารถบัญชาการเหล่าทหารของเมืองได้ ครั้งแรก อำนาจของผู้บัญชาการจะสิ้นสุดลงในทันทีที่สงครามสิ้นสุดลง หลังจาก 3000 ปีก่อนคริสตกาล  สงครามระหว่างเมืองได้มีมากขึ้นและบ่อยขึ้น นักบวชและประชาชนชาวสุเมเรีย จะมอบการปกครองกองทัพประจำการอย่างถาวรให้กับผู้บัญชาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในที่สุด ผู้นำทหารบางส่วนก็กลายเป็นผู้ปกครองประจำ ผู้ปกครองเหล่านี้มักจะถ่ายทอดอำนาจของพวกเขาไปยังลูกหลาน ซึ่งท้ายที่สุดก็ถ่ายทอดไปยังทายาทของตัวเอง ลำดับของผู้ปกครองจากครอบครัวเดียวนั้น เรียกว่า ราชวงศ์ หลังจาก2500 ปีก่อนคริสตกาล นครรัฐของชาวสุเมเรียกลายแห่งก็เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์
การขยายตัวของเมือง  นครรัฐของชาวสุเมเรียได้ขยายตัวเจริญรุ่งเรืองจากอาหารที่ล้นเหลือซึ่งผลิตในทุ่งนาของพวกเขา อาหารที่ล้นเหลือเหล่านี้ทำให้ชาวสุเมเรียพัฒนาการค้าขายในระยะยาว   การแลกเปลี่ยนอาหารพิเศษและสินค้าอื่น ๆ กับวัตถุดิบที่พวกเขาต้องการ
ประมาณ 2500 ปีก่อนคริสตกาล เมืองใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นไปทั่วดินแดนพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งปัจจุบันก็คือ ซีเรีย อิรักตอนเหนือ และตุรกี ชาวสุเมเรียนได้แลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และแนวความคิดกับวัฒนธรรมใกล้เคียง เช่น การดำเนินชีวิตในเมือง กระบวนการนี้ซึ่งเป็นแนวความคิดใหม่ ๆ หรือผลิตภัณฑ์ ที่เผยแพร่จากวัฒนธรรมหนึ่งไปยังอีกวัฒนธรรมหนึ่ง เรียกว่า การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม
ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว
แผนที่ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว (Fertile Crescent)
วัฒนธรรมสุเมเรีย (หรือสุเมเรียน)
ระบบความเชื่อ โครงสร้างทางสังคม เทคโนโลยีและศิลปะของชาวสุเมเรีย สะท้อนให้เห็นถึงความประสบความสำเร็จแห่งอารยธรรมของพวกเขาเหนือสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งและที่รุนแรง
ศาสนาแหงเทพเจ้าหลายองค์  ชาวสุเมเรียเหมือนกับผู้คนมากมายในดินแดนพระจันทร์เสี้ยว เชื่อว่า เทพเจ้าต่าง ๆ มากมายควบคุมบังคับบัญชาสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ ความเชื่อในเทพเจ้ามากกว่าหนึ่ง (polytheism) เอนลิล (Enlil) เป็นเทพเจ้าแห่งพายุและอากาศ เป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่มีอำนาจมากที่สุด  ชาวสุเมเรียเกรงกลัวเทพเจ้าตนนั้น ในฐานะเป็น "กระแสน้ำท่วมที่บ้าคลั่งที่ไม่มีคู่แข่ง" ปีศาจชื่อ อูกัลลู (Ugallu) ปกปักษ์คุ้มครองมนุษย์จากปีศาจร้ายที่ก่อให้เกิดโรค ความโชคร้ายและความทุกข์ยาก
ชาวสุเมเรียอธิบายเทพเจ้าของพวกเขาว่าทำได้หลายสิ่งเช่นเดียวกันกับที่มนุษย์ทำได้ การตกหลุมรัก การมีบุตร การทะเลาะกันและอื่น ๆ อนึ่ง ชาวสุเมเรียยังเชื่อว่าเทพเจ้าของพวกเขาเป็นอมตะและมีอำนาจไม่จำกัด มนุษย์ไม่ได้เป็นอะไร แต่เป็นคนรับใช้ของเทพเจ้า เวลาใดก็ได้ ความโกรธอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอาจจะโจมตี ด้วยการสั่งให้ไฟไหม้ น้ำท่วมหรือศัตรูเพื่อทำลายเมือง  เพื่อทำให้เทพเจ้าพอพระทัย  ชาวสุเมเรียจึงได้สร้างซิกกุรัตที่งดงามน่าประทับใจบูชาเทพเจ้าเหล่านั้นและสังเวยสัตว์ อาหารและไวน์มากมาย
ชาวสุเมเรียได้ทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้าในชาตินี้  พวกเขาก็ยังคาดหวังความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเทพเจ้าหลังจากสิ้นชีพ   ชาวสุเมเรียเชื่อว่าดวงวิญญาณของคนตายจะไปสู่ "สถานที่ที่ไม่มีวันกลับหรือที่เทพเจ้าทั้งหลายสถิตอยู่ - land of no return – ผู้รู้โปรดแนะนำ"  ซึ่งเป็นสถานที่มืดมนอนธการซึ่งอยู่ระหว่างเปลือกโลกและทะเลโบราณ ไม่มีความสุขที่รอคอยวิญญาณ บทความในบทกวีของชาวสุเมเรียอธิบายชะตากรรมของวิญญาณผู้ตายว่า "ฝุ่นธุลีเป็นค่าโดยสารของพวกเขาและดินเหนียวเป็นอาหารของพวกเขา"
บางส่วนของคำบรรยายที่สมบูรณ์ที่สุดของเรื่องปรัมปราและตำนานของชาวเมโสโปเตปรากฏในบทกวียาวที่เรียกว่า มหากาพย์กิลกาเมช (Epic of Gilgamesh)
อักษรรูปลิ่มหรือคูนิฟอร์ม


การดำเนินชีวิตในสังคมสุเมเรีย  สิ่งที่เราเรียกว่าชนชั้นทางสังคม เริ่มต้นมาพร้อมกับอารยธรรม  กษัตริย์ ศักดินาและนักบวชบางพวก เป็นชนชั้นสูงสุดในสังคมสุเมเรีย พ่อค้ามหาเศรษฐีอยู่อันดับต่อไป ชาวสุเมเรียที่เป็นสามัญส่วนใหญ่เป็นอันมากทำงานด้วยมือของตนเองในทุ่งนาและสถานที่ทำงาน  สังคมชั้นต่ำที่สุดของชาวสุเมเรีย คือ ทาส ทาสบางคนเป็นชาวต่างชาติที่ถูกจับตัวมาจากสงคราม ทาสนอกนั้น คือชาวสุเมเรียผู้ที่ถูกขายไปเป็นทาสตั้งแต่เป็นเด็ก เพื่อชำระหนี้ของพ่อแม่ผู้ยากจนของตนเอง ทาสที่เป็นหนี้มีความหวังว่าจะซื้อเสรีภาพของตนเองได้ในที่สุด
ชนชั้นทางสังคมมีผลกระทบต่อชีวิตทั้งแก่ผู้ชายและหญิง ผู้หญิงชาวสุเมเรียสามารถทำงานเป็นพ่อค้า เกษตรกรหรือช่างฝีมือได้ พวกหล่อนสามารถถือครองทรัพย์สมบัติในนามของตัวเองได้ ผู้หญิงก็ยังสามารถบวชเป็นพระได้ ผู้หญิงชั้นสูงบางคนเรียนอ่านและเขียนได้ แม้ว่าบันทึกของชาวสุเมเรียนที่เขียนไว้จะพูดถึงเสมียนหญิงเพียงสองสามคน แต่ผู้หญิงชาวสุเมเรียก็มีสิทธิมากกว่าผู้หญิงในหลายอารยธรรมยุคต่อมา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาวสุเมเรีย  นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า ชาวสุเมเรีย ได้ประดิษฐ์ล้อรถ เรือใบและไถ และเชื่อว่า ชาวสุเมเรียอยู่ในกลุ่มแรกที่สำริด ความคิดใหม่ ๆ และสิ่งประดิษฐ์มากมาย เกิดขึ้นจากความต้องการนำมากใช้งานของชาวสุเมเรีย
คณิตศาสตร์และเรขาคณิต  เพื่อจะสร้างกำแพงเมืองและอาคาร แผนระบบชลประทานและการสำรวจน้ำท่วมนา ชาวสุเมเรียต้องการคณิตศาสตร์และรูปทรงเรขาคณิต พวกเขาพัฒนาระบบเลขฐาน 60 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดหน่วยวัดสมัยใหม่สำหรับวัดเวลา (60 วินาที = 1 นาที) และ  360 องศาของวงกลม
นวัตกรรมทางสถาปัตยกรรม  ส่วนโค้ง เสา ทางลาดและปิรามิดเลียนแบบรูปทรงของซิกกุรัตและมีอิทธิพลต่ออารยธรรมเมโสโปเตอย่างถาวร
            • อักษรรูปลิ่มหรือคูนิฟอร์ม (Cuneiform)  ชาวสุเมเรียสร้างระบบการเขียน  สิ่งแรกที่พวกเขาเขียนซึ่งเป็นที่รู้จักกัน คือแผนที่ สร้างขึ้นบนแผ่นดินเหนียว เมื่อประมาณ 2300 ก่อนคริสตกาล แผ่นจากรึกอื่น ๆ ประกอบด้วยทึกวิธีการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่เขียนไว้เก่าแก่ที่สุดบางส่วนในสาขาวิชาดาราศาสตร์ เคมีและแพทยศาสตร์
ไอกุ-ชามาเกน (Iku-Shamgen)
ไอกุ-ชามาเกน (Iku-Shamgen) กษัตริญแห่ง Mari นครรัฐในซูเมอร์ สวดมนต์ให้กับพระเจ้า
รูปแกะทองคำ
แกะทองและแก้วไพฑูรย์นี้มีขนเป็นเปลือกหอย ค้นพบในหลุมฝังศพของกษัตริย์

ผู้สร้างจักรวรรดิแห่งแรก
นับตั้งแต่ 3000 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาล, นครรัฐของชาวซุเมอร์ทำสงครามกับนครรัฐอื่น ๆ เกือบตลอดเวลา นครรัฐที่อ่อนแอไม่สามารถปกป้องการโจมตีจากผู้คนจากทะเลทรายและภูเขาที่อยู่รอบ ๆ  แม้ว่าชาวสุเมเรียไม่เคยยึดเอาเมืองคืนจากการโจมตีได้เลย อารยธรรมของพวกเขาก็ไม่ได้สูญสิ้น ลำดับผู้ปกครองที่ประสบผลสำเร็จได้รับเอาแนวความคิดพื้นฐานของวัฒนธรรมสุเมเรียเพื่อจัดการความต้องการของพวกเขาเอง
ซาร์กอนแห่งแอกแคท (Sargon of Akkad)  ประมาณ 2350 ปีก่อนคริสตกาล ผู้พิชิต ชื่อ ซาร์กอน ได้พิชิตนครรัฐของซูเมอร์ ซาร์กอนได้นำกองทัพแอกแคท (Akkad) ซี่งเป็นเมืองทางตอนเหนือของซูเมอร์ อักคาเดีย (Akkadian) ได้รับเอาแง่คิดของวัฒนธรรมสุเมเรียเป็นส่วนมากเป็นเวลายาวนานมาก่อน ชัยชนะของซาร์กอนได้ช่วยให้วัฒนธรรมนั้นเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง  ไกลไปถึงลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส
เมื่อเข้าปกครองเมโสโปเตเมียทั้งทางตอนเหนือและตอนใต้ ซาร์กอน ก็ได้สร้างจักรวรรดิแห่งแรกของโลก  จักรวรรดิได้รวบรวมผู้คน ชาติ หรือรัฐอิสระก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน ภายใต้การปกครองของผู้ปกครองผู้เดียว  ในจุดสูงสุดของจักรวรรดิ จักรวรรดิอักคาเดีย ได้ปกครองตั้งแต่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางทิศตะวันตกจนถึงอิหร่านในปัจจุบันทางทิศตะวันออก ราชวงศ์ซาร์กอนก็ดำรงอยู่เพียงประมาณ 200 ปี หลังจากนั้นก็ล่มสลายเนื่องจากการต่อสู้ภายใน การรุกรานและความอดอยาก
จักวรรดิบาบิโลเยียน (Babylonian Empire)  เมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาล นักรบเร่ร่อน ที่เรียกกันว่า อามอไรต์ (Amorite) ได้บุกเมโสโปเตเมีย ชาวอามอร์ไรต์ค่อย ๆ  พิชิตชาวสุเมเรียและจัดตั้งเมืองหลวงที่บาบิโลน (Babylon) บนฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส  จักรวรรดิบาบิโลเนีย ได้เจริญถึงจุดสูงสุดในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี (Hammurabi)  ตั้งแต่ 1792 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง 1750 ปีก่อนคริสตกาล  มรดกที่ยั่งยืนที่สุดของฮัมมูราบี คือ ประมาวลกฎหมายที่พระองค์รวบรวมขึ้น
ประมวลกฎหมายของฮัมมูราบี (Hammurabi’s Code) พระเจ้าฮัมมูราบียอมรับว่า ประมวลกฎหมายที่เป็นอันเดียวกันหมดหนึ่งเดียว จะช่วยรวมกลุ่มต่าง ๆ ภายในอาณาจักรของพระองค์  พระองค์ได้รวบรวมระเบียบ คำพิพากษา และกฎหมายที่มีอยู่เข้าเป็นประมวลกฎหมายฮัมมูราบี ฮัมมูราบีได้รับสั่งให้แกะสลักประมวลกฎหมายในหินและคัดลอกสำเนาไว้ทั่วอาณาจักรของพระองค์


ประมวลกฎหมายมีกฎหมายเฉพาะ 282 รายการ ว่าด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มีผลกระทบต่อชุมชน รวมทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัว การดำเนินธุรกิจและอาชญากรรม เนื่องจากคนจำนวนมากเป็นพ่อค้า ผู้ประกอบการค้าหรือเกษตรกร ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายหลายข้อเกี่ยวข้องกับปัญหาทรัพย์สมบัติ นอกจากนี้กฎหมาย ยังพยายามปกป้องผู้หญิงและเด็กจากการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กฎหมายบอกเล่าแบบฉบับอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความเชื่อและสิ่งที่มีคุณค่าแก่พวกเรา
แม้ว่าประมวลกฎหมายจะประยุกต์ใช้กับทุกคน ก็มีการลงโทษแตกต่างกันระหว่างคนรวยกับคนจนและระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง มีการนำหลักการการแก้แค้น (ตาต่อตาฟันต่อฟัน) มาใช้บ่อยในการลงโทษอาชญากรรม
อารัมภบทของประมวลกฎหมาย ได้กำหนดเป้าหมายสำหรับตัวบทกฎหมายนี้ กฎหมายบอกว่า "จะนำกฎแห่งความชอบธรรมเข้ามาใช้ในประเทศ จะทำลายคนชั่วและคนทำชั่ว เพื่อให้ผู้ที่แข็งแรงไม่ควรเป็นอันตรายต่อผู้ที่อ่อนแอ"  ดังนั้น ประมวลกฎหมายฮัมมูราบีจึงเสริมหลักการที่ว่า รัฐบาลมีความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ตัวอย่างเช่น ถ้าคนที่ถูกปล้นและขโมยไม่ถูกจับ รัฐบาลจะต้องชดเชยให้ผู้ที่เป็นเหยื่อ
    เกือบสองศตวรรษหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี จักรวรรดิบาบิโลเนียนซึ่งได้กลายเป็นจักรวรรดิที่มีขนาดเล็กมาก ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของชาวคัสไซต์ (Kassites) ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง หลายปีผ่านไป กลุ่มใหม่ก็เข้าครอบครองดินแดนพระจันทร์เสี้ยว แต่ผู้คนในยุคต่อมา รวมทั้งชาวอัสซีเรีย ชาวฟินิเซียและชาวฮีบรูได้รับเอาความคิดหลายอย่างของชาวสุเมเรียมาใช้ ในขณะเดียวกัน ก็เกิดเหตุการณ์คล้ายกันในทางด้านตะวันตก คือ การพัฒนา การเจริญรุ่งเรืองแล้วล่มสลาย ตามแนวแม่น้ำไนล์ในอียิปต์








ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (Hammurabi’s Code of Laws)
สาหินสลักประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
 

ฮัมมูราบี (Hummuribi)
รูปปั้นกษัตริย์ฮัมมูราบี


ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (Hammurabi’s Code of Laws)
ในภาพคือเสาหินที่สลักประมวลกฎหมายฮัมมูราบี ประมวลกฎหมายฮัมมูราบีบัญญัติการลงโทษที่กำหนดตั้งแต่ค่าปรับไปถึงการประหาร การลงโทษมักจะอยู่บนพื้นฐานของชนชั้นทางสังคมของเหยื่อ นี่คือตัวอย่างบางส่วนของกฎหมาย:
8. ถ้าผู้ใดขโมยวัว แกะ หมูหรือเรือที่อยู่ในวัดหรือวัง ผู้นั้นจะต้องชำระคืนสามสิบเท่า ถ้าเป็นของประชาชน เขาจะชำระคืนสิบเท่า ถ้าขโมยไม่สามารถจ่ายเงิน เขาจะถูกนำไปประหาร
142. ถ้าผู้หญิงเกลียดสามีของเธอและพูดกับเขาว่า "คุณไม่สามารถจะอยู่กับฉันได้" เจ้าหน้าที่ในอำเภอของเธอจะพิจารณาคดี หากเธอเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่มีความผิด แม้ว่าสามีของเธอจะทอดทิ้งหรือดูหมิ่นของเธอ เธอจะได้รับพิจารณาว่าผู้บริสุทธิ์และอาจจะกลับไปที่บ้านของพ่อของเธอได้
143 ถ้าผู้หญิงมีความผิด เธอจะถูกโยนลงไปในแม่น้ำ
196. ถ้าชายคนหนึ่งเป็นเหตุให้ชายอีกคนหนึ่งสูญเสียนัยน์ตา ลูกนัยน์ตาของชายคนนั้นจะถูกควักออกมา
198. ถ้าเขาควักนัยน์ตาของอิสรชนหรือหรือทุบกระดูกของอิสรชน เขาจะต้องจ่ายทอง 1 แท่ง
199. ถ้าเขาควักนัยน์ตาของทาสของมนุษย์หรือทำลายกระดูกของทาสของมนุษย์ เขาจะต้องจ่ายมูลค่าครึ่งหนึ่ง

                                                        ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี