แปลจาก...Word History ของ McDougal Littel
แปลโดย...ทรงศักดิ์ สายหยุด

กูชโบราณ (Ancient Kush)

กูชโบราณ (Ancient Kush)
ภูมิศาสตร์ของนูเบียยุคแรก
ทางตอนใต้ของอียิปต์ มีกลุ่มผู้คนที่ตั้งรกรากในภูมิภาคที่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่า นูเบีย (Nubia) ชาวแอฟกันเหล่านี้ได้ก่อตั้งอาณาจักรแห่งแรกในตอนกลางทวีปแอฟริกา เรารู้จักอาณาจักรนี้ตามชื่อที่ชาวอียิปต์ตั้งให้ คือ กูช (Kush) วิวัฒนาการของสังคมกูชได้รับอิทธิพลจากภูมิศาสตร์ของนูเบียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสดงบทบาทตามลำแม่น้ำไนล์

แผ่นดินนูเบีย
ปัจจุบันนี้ ทะเลทรายปกคลุมนูเบียเป็นส่วนมาก แต่ในครั้งโบราณ ภูมิภาคนี้อุดมสมบูรณ์มากกว่าปัจจุบันนี้ ฝนไหลหลากท่วมแม่น้ำไนล์ทุก ๆ ปี เตรียมชั้นโคลนอันอุดมสมบูรณ์ให้กับแผ่นดินบริเวณรอบ ๆ อาณาจักรกูลพัฒนาในบริเวณอันอุดมสมบูรณ์นี้
นูเบียโบราณอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมาย เช่น ทองคำ ทองแดง และหิน ทรัพยากรเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของบริเวณนี้และสนับสนุนให้เกิดความมั่งคั่ง

อารยธรรมยุคแรกในนูเบีย
เหมือนกับอารยธรรมยุคแรกทั้งหมด ผู้คนในนูเบียได้อาศัยเกษตรกรรมเป็นอาหาร เป็นความโชคดีสำหรับผู้คนเหล่านั้น กระแสน้ำหลากแห่งแม่น้ำไนล์ทำให้นูเบียปลูกพืชพันธุ์ได้ทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาว ในบรรดาพืชพันธุ์เหล่านั้นที่ผู้คนปลูก คือ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวอื่น ๆ
นอกจากที่ดินทำมาหากินแล้ว ฝั่งแม่น้ำไนล์ยังให้ทุ่งเลี้ยงสัตว์สำหรับเลี้ยงปศุสัตว์ เป็นผลให้หมู่บ้านเกษตรกรรมมีความเจริญเติบโตทั่วไปตามลำแม่น้ำไนล์ เมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล
เมื่อเวลาผ่าน เกษตรกรบางพวกมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าเกษตรกรพวกอื่น ๆ เกษตรกรเหล่าจึงกลายเป็นผู้นำหมู่บ้าน บางครั้ง ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ผู้นำเหล่านี้คนหนึ่งได้ปกครองหมู่บ้านอื่น ๆ และสถาปนาตัวเองให้เป็นกษัตริย์แห่งภูมิภาคนี้ ราชอาณาจักรใหม่ของพระองค์ จึงเรียกว่า กูช
กษัตริย์แห่งกูชได้ปกครองตั้งแต่เมืองหลวงที่เคอร์มา (Kerma) เมืองหลวงนี้ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำไนล์ เพียงแค่ลงไปทางใต้น้ำตกสูงชันแห่งที่สาม เนื่องจากน้ำตกสูงชันของแม่น้ำไนล์ให้แม่น้ำไนล์หลายส่วนผ่านไปได้ยาก น้ำตกสูงชันเหล่านั้นจึงเป็นแนวกั้นเขตทางธรรมชาติต่อผู้รุกราน เป็นเวลาหลายปี น้ำตกสูงชันเหล่านั้นได้รักษาความปลอดภัยจากราชอาณาจักรอียิปต์ที่มีอำนาจมากกว่าที่อยู่ทางทิศเหนือ
เมื่อเวลาผ่านไป สังคมกูลก็เจริญสลับซับซ้อนมากขึ้น นอกจากเกษตรกรและคนเลี้ยงปศุสัตว์แล้ว ชาวกูชบางพวกก็เป็นนักบวชและช่างฝีมือ กูชในยุคแรกได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทางตอนใต้ ต่อมา อียิปต์จึงมีบทบาทยิ่งใหญ่ขึ้นในประวัติศาสตร์ของกูช

กูชและอียิปต์
กูชและอียิปต์เป็นเพื่อบ้านกัน บางครั้ง เพื่อนบ้านก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข ช่วยกันและกันให้เกิดความรุ่งเรือง ยกตัวอย่างเช่น กูชเป็นผู้จัดหาทั้งทาสและวัตถุดิบรายสำคัญให้กับอียิปต์ ชาวกูชได้ส่งวัตถุดิบ เช่น ทองคำ ทองแดงและหินไปยังอียิปต์ และยังได้จัดส่งไม่เนื้อแข็งสีดำและงาช้างไปให้อียิปต์ด้วย

อียิปต์พิชิตกูช
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างกูชกับอียิปต์ไม่ได้อยู่ในสันติภาพเสมอไป ในขณะที่กูชรุ่งเรืองมั่งคั่งจากการค้าขาย และยังมีกองทัพที่แข็งแกร่งอีกด้วย ในไม่ช้า ผู้ปกครองชาวอียิปต์ก็กลัวว่า กูชจะมีความเจริญรุ่งเรืองมีอำนาจมากกว่าและจะเข้าโจมตีอียิปต์

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโจมตีดังกล่าว ฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 ก็ได้ส่งกองทัพไปยึดกูชประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพของฟาโรห์ได้พิชิตนูเบียที่อยู่ทางตอนเหนือของน้ำตกสูงชันแห่งที่ห้าทั้งหมด เป็นผลให้กูชตกเป็นส่วนหนึ่งของอียิปต์
หลังจากกองทัพของฟาโรห์ได้รับชัยชนะ พระองค์ได้ทำหลายเมืองเคอร์มา ที่เป็นเมืองหลวงของกูช ต่อมาฟาโรห์รวมทั้งรามเสสมหาราชก็ได้สร้างวิหารขนาดมหึมาในดินแดนของกูช

ผลกระทบจากการพิชิต
กูชยังคงเป็นอาณานิคมของอียิปต์ เป็นเวลาประมาณ 450 ปี ในช่วงเวลานั้น อิทธิพลของอียิปต์ที่มีเหนือกูชก็รุ่งเรืองเต็มที่ ภาษาอียิปต์ก็กลายเป็นภาษาทางการของภูมิภาคนี้ ชาวกูชจำนวนมากได้ใช้ชื่ออียิปต์และสวมเสื้อผ้าสไตล์อียิปต์ และยังยอมรับนับถือศาสนาแบบอียิปต์ด้วย

การเปลี่ยนแปลงอำนาจ
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 1000 ก่อนคริสตกาล ราชอาณาจักรใหม่ในอียิปต์ก็สิ้นสุดลง ในขณะที่อำนาจของฟาโรห์อียิปต์สิ้นสุดลง ผู้นำกูชก็ยึดการปกครองกูชคืนมา กูชก็กลายเป็นเอกราชอีกครั้ง
พวกเราเกือบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกูชนับตั้งแต่เวลาที่ได้รับเอกราชจนถึง 200 ปี ต่อมา กูชไม่ได้รับการกล่าวถึงด้วยการบันทึกทางประวัติศาสตร์ใด ๆ ในช่วงศตวรรษเหล่านี้เลย

การพิชิตอียิปต์
เมื่อประมาณ 850 ปี ก่อนคริสตกาล กูชได้ฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับคืนมา มีความแข็งแกร่งอีกครั้ง พอ ๆ กับช่วงเวลาก่อนที่กูชจะถูกอียิปต์พิชิต เนื่องจากชาวอียิปต์ได้ยึดและทำลายเมืองเคอร์มา กษัตริย์กูชได้ปกครองตั้งแต่เมืองนาปาตา (Napata) เมืองนาปาตาสร้างโดยชาวอียิปต์ อยู่บนฝั่งแม่น้ำไนล์ ประมาณ 100 ไมล์ไปทางใต้ของเมืองเคอร์มา
ในขณะที่กูชมีความเข้มแข็งมากขึ้น อียิปต์ก็เกิดความอ่อนแออย่างมาก ฟาโรห์ที่ไร้ความสามารถก็ปล่อยให้อียิปต์ถูกโจมตีเป็นระยะ ๆ เมือศตวรรษที่ 700 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์กูชนามว่า กัชตา (Kashta) ก็ฉกฉวยโอกาสที่อียิปต์อ่อนแอและโจมตีอียิปต์ เมื่อประมาณ 751 ปี ก่อนคริสตกาล พระองค์ได้พิชิตอียิปต์ตอนบนแล้วก็สถาปนาความสัมพันธ์กับอียิปต์ตอนล่าง
หลังจากกษัตริย์กัชตาสวรรคต โอรสของพระองค์นามว่า เปียงคี (Piankhi) ก็โจมตีอียิปต์ต่อไป กองทัพของกูชได้ยึดเมืองของอียิปต์มากมาย รวมทั้งเมืองโบราณ เปียงคี (ไปอันคี, ปิอันคี ข้อมูลไม่มีเลย) ได้ต่อสู้กับชาวอียิปต์ เนื่องจากพระองค์เชื่อว่า เทพเจ้าทั้งหลายต้องการให้พระองค์ปกครองอียิปต์ทั้งหมด ก่อนเวลาที่พระองค์จะสวรรคตเมื่อประมาณ 716 ปีก่อนคริสตกาล เปียงคีก็ได้ทำภารกิจนี้สำเร็จ ราชอาณาจักรของพระองค์ขยายไปทางเหนือตั้งแต่เมืองนาปาตาจนถึงสามเหลี่ยมแม่น้ำไนล์


กูชโบราณ (Ancient Kush)


 
ซากปรักหักพังของพีระมิดกูชโบราณตั้งอยู่ด้านหลังสิ่งที่ก่อสร้างใหม่นี้ ดูเหมือนสร้างในสมัยเริ่มแรก    
 
Cataract หรือแก่งหรือน้ำตกที่กว้างใหญ่และสูงชันและมีกระแสไหลเชี่ยว ในแม่น้ำไนล์  ในสมัยโบราณเรือไม่สามารถแล่นผ่านได้เนื่องจากน้ำไหลเชี่ยวมาก
ราชวงศ์ของกูช
หลังจากเปียงคีสวรรคต น้องชายของพระองค์คือ ชาบากา (Shabaka) ก็ได้ปกครองราชอาณาจักร ครั้นแล้ว ชาบากาก็ประกาศตัวเองเป็นฟาโรห์ การประกาศนี้เริ่มขึ้นเป็นราชวงศ์ที่ 25 หรือราชวงศ์กูชในอียิปต์
ชาบากาและผู้ปกครองในลำดับต่อมาแหงราชวงศ์ของพระองค์เชื่อว่า กษัตริย์ในราชวงศ์นี้ เป็นทายาทของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตของอียิปต์ พวกเขาพยายามจะฟื้นฟูแนวปฏิบัติทางวัฒนธรรมของอียิปต์แบบเก่าและฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมที่เลือนลางไป แนวทางปฏิบัติและวัฒนธรรมประเพณีเหล่านี้บางอย่างได้รับการปล่อยปละละเลยในช่วงเวลาที่อียิปต์เกิดความอ่อนแอ ยกตัวอย่างเช่น ชาบากาก็ได้รับการทำพิธีฝังพระศพในพีระมิด ชาวอียิปต์ได้หยุดสร้างพีระมิดให้นักปกครองมาเป็นเวลาหลายศตวรรษก่อนหน้านั้น
ผู้ปกครองชาวกูชของอียิปต์ได้สร้างวิหารใหม่ให้กับเทพเจ้าอียิปต์และฟื้นฟูวิหารเก่า ๆ หลายแห่ง พวกเขายังได้ทำงานเพื่ออนุรักษ์การเขียนของอียิปต์ เป็นผลให้วัฒนธรรมอียิปต์เจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาแห่งราชวงศ์ที่ 25

สิ้นสุดการปกครองของกูชในอียิปต์
ราชวงศ์กูชยังคงมีความเข้มแข็งในอียิปต์เป็นเวลาประมาณ 40 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อ ศตวรรษที่ 670 ก่อนคริสตกาล กองทัพอันเกรียงไกรของชาวอัสซีเรีย จากเมโสโปเตเมียก็เข้ารุกรานอียิปต์ อาวุธเหล็กของอัสซีเรียมีประสิทธิภาพดีกว่าอาวุธสัมฤทธิ์ของกูช แม้ว่ากูชจะมีพลธนูผู้มีทักษะ พวกเข้าก็สามารถหยุดการรุกรานได้ กูชจึงถูกผลักดันลงไปทางใต้แทน เพียง 10 ปี ชาวอัสซีเรียก็ขับไล่กองทัพกูชออกจากอียิปต์ได้อย่างสิ้นเชิง

กูชยุคต่อมา
หลักจากพวกกูชสูญเสียการครอบครองอียิปต์ ผู้คนชาวกูชก็ทุ่มเทตนเองให้กับเกษตรกรรมและพาณิชยกรรม ด้วยความหวังที่ทำให้ประเทศของตนเองกลับมาร่ำรวยอีกครั้ง ภายในสองสามศตวรรษ ราชอาณาจักรกูชก็รุ่งเรืองและเกรียงไกรมากกว่าเก่าอย่างแท้จริง

อุตสาหกรรมเหล็กของกูช
ศูนย์กลางเศรษฐกิจของกูชในระหว่างเวลานี้อยู่ที่เมืองมีโร (Meroë) ซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ของอาณาจักร ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ ช่วยให้เศรษฐกิจของกูชเจริญรุ่งเรือง มีแหล่งทองคำขนาดใหญ่ที่สามารถค้นพบได้บริเวณรอบ ๆ ป่าไม้เนื้อแข็งสีดำและไม้อื่น ๆ ก็พบได้เช่นกัน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น บริเวณรอบๆ เมืองมีโรอุดมไปด้วยแหล่งแร่เหล็กมากมาย
ณ ตำแหน่งนี้ ชาวกูชจึงได้พัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กเป็นแห่งแรกของแอฟริกา แร่เหล็กและไม้สำหรับเตาหลอม ก็หาได้ง่าย ดังนั้น อุตสาหกรรมเหล็กจึงเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

การขยายการค้าขาย
ในไม่ช้า เมืองมีโรก็กลายเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการค้าขายขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นระบบของผู้คนในดินแดนต่าง ๆ ที่มาค้าขายสินค้า ชาวกูชได้ส่งสินค้าลงไปตามแม่น้ำไนล์ไปยังอียิปต์ จากที่นั้น เหล่าพ่อค้าชาวอียิปต์และกรีกก็นำสิ้นไปยังท่าเรือบนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแดง ตลอดจนนำไปสู่แฟริกาตะวันตก  ในที่สุด สิ้นค้าเหล่านี้ อาจจะไปถึงอินเดียและบางทีไปถึงจีน
สินค้าส่งออกของกูช ซึ่งส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ได้แก่ ทองคำ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเหล็ก และงาช้าง เหล่าพ่อค้าชาวกูช ยังได้ส่งหนังเสือดาว ขนนกกระจอกเทศและช้างอีกด้วย ในทางกลับกัน สินค้านำเข้า ที่กูชนำเข้ามาจากภูมิภาคอื่น ๆ เช่น เครื่องเพชรพลอยอันสวยงามและสินค้าหรูหราจากอียิปต์ เอเชีย และดินแดนอื่น ๆ ตามแนวทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

วัฒนธรรมกูช
ในขณะที่การค้าขายของกูชเจริญรุ่งเรือง เหล่าพ่อค้าก็มีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนจากวัฒนธรรมอื่น ๆ     เป็นผลให้ประชาชน

ชาวกูชได้เชื่อมสัมพันธ์วัฒนธรรมประเพณีจากวัฒนธรรมอื่น ๆ เข้ากับวัฒนธรรมกูชอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
อิทธิพลที่เด่นชัดมากที่สุดที่มีต่อวัฒนธรรมกูชก็คืออียิปต์ อาคารมากมายในเมืองมีโร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิหาร มีความคล้ายคลึงกับอียิปต์ ประชาชนส่วนมากในกูชเคารพนับถือเทพเจ้าของอียิปต์และสวมเสื้อผ้าแบบอียิปต์ ผู้ปกครองชาวกูชใช้นามว่า ฟาโรห์ และพระศพก็ถูกฝังไว้ในพีระมิด
รากฐานของวัฒนธรรมกูชมากมายไม่ได้รับการถ่ายทอด อาคารและการดำเนินชีวิตประจำวันของชาวกูชมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกคนหนึ่งได้เขียนบันทึกความแตกต่างของกูชไว้ว่า
            “อาคารบ้านช่องในเมืองหลายเมืองสร้างขึ้นจากการผสมผสานชิ้นส่วนของต้นปาล์มหรือก้อนอิฐ...
            พวกเขาล่าช้าง สิงโต และเสือดำ ยังมีงูใหญ่อีกด้วย...และมีสัตว์ชนิดอื่นมากมาย”
--สตราโบ (Strabo), The Geographies

นอกจาเทพเจ้าของอียิปต์แล้ว ชาวกูชก็นับถือเทพเจ้าของตนเอง พวกเขายังได้พัฒนาภาษาเขียนเป็นของตนเอง คือ ภาษา มีโรอิติก (Meroitic) เป็นที่น่าเสียดายที่นักประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถเข้าใจภาษามีโรอิติกได้

สตรีในสังคมกูช
สตรีของกูชได้รับความคาดหวังว่าจะเป็นผู้มีความกระตือรือร้นในสังคม พวกหล่อนทำงานในทุ่งนา เลี้ยงดูลูก ๆ ทำครัว และทำงานบ้านอื่น ๆ
สตรีชาวกูชบางคนขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงในทางราชการ บางคนทำงานในฐานะเป็นผู้ช่วยผู้ปกครองร่วมกับสามีและบุตรของตนเอง สตรีจำนวนเล็กน้อยที่ปกครองจักรวรรดิแต่เพียงผู้เดียว นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า สตรีคนแรกที่ปกครองกูช คือ ราชินี ชานัคดาคีโต (Queen Shanakhdakheto) พระนางปกครองตั้งแต่ 170 ถึง 150 ปี ก่อนคริสตกาล

การเสื่อมลงของกูช
กูชได้ค่อย ๆ สูญสิ้นอำนาจตามลำดับ มีปัญหาภายในราชอาณาจักรมาเป็นระยะ ๆ ทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ ปัญหาอย่างหนึ่ง คือ การที่ปศุสัตว์ของกูชถูกปล่อยให้กินหญ้ามากเกินไป  เมื่อโคนมกินหญ้าหมด ลมก็พัดพาดินออกไป ทำให้เกษตรกรผลิตอาหารได้น้อยลง
อีกอย่างหนึ่ง ช่างเหล็กใช้ป่าไม้ใกล้เมืองมีโรจนหมดสิ้น ในขณะที่ไม้กลายเป็นสิ่งที่ขาดแคลน เตาหลอมก็ถูกปิดลง กูชผลิตอาวุธและขายสินค้าได้น้อยลง
            กูชยังมีความอ่อนแอจากการขาดทุนด้านการค้าขาย พ่อค้าต่างแดนได้จัดตั้งเส้นทางการค้าขายใหม่ไปรอบ ๆ กูช เส้นทางการค้าขายดังกล่าวเส้นหนึ่งผ่านกูช ไปสู่ทางที่ดีกว่า คือ อักซุม (Aksum) ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ตามฝั่งทะเลแดงซึ่งปัจจุบันคือ ประเทศเอธิโอเปียและเอริเทรีย (Ethiopia and Eritrea) ในสองคริสต์ศตวรรษแรก อักซุมเจริญมั่งคั่งจากการค้าขาย
ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 300 กูชสูญเสียความมั่งคั่งและความสามารถทางทหารมากมาย กษัตริย์แห่งอักสัมจึงได้เปรียบจากความอ่อนแอของคู่แข่งทางด้านการค้าขายในยุคต่อมา เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 350 กองทัพอักสัมของกษัตริย์ เอซานา (King Ezana) ก็ได้ทำลายเมืองมีโรและปกครองกูช
ในปลายศตวรรษที่ 300 ผู้ปกครองอักสัมกลายคริสเตียน ประมาณสองร้อยปีต่อมา ชาวนูเบียหลายคนก็เปลี่ยนศาสนาด้วย อิทธิพลของกูชยุคสุดท้ายจึงสูญสิ้นไป






 อัตชีวประวัติ
เปียงคี (Piankhi – มีชีวิตระหว่าง 751 – 716  ปี ก่อนคริสตกาล)

        เปียงคี เรียกว่าอย่างหนึ่งว่า ปิเย เป็นผู้นำทางทหารผู้ประสบผลสำเร็จมากที่สุดของกูช นักรบผู้ดุร้ายคนหนึ่งในสนามรบ เป็นกษัตริย์ผู้มีความเลื่อมใสทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง ความเชื่อของเปียงคีที่ว่า พระองค์เป็นผู้ช่วยเหลือเทพเจ้าทั้งหลาย ได้เติมเชื้อเพลิงความกระตือรื้อร้นในการทำสงครามกับอียิปต์ ความกล้าหาญของพระองค์เป็นแรงบันดาลใจให้กองทัพของพระองค์ในสนามรบ เปียงคีรักม้าของพระองค์และได้รับการฝังพระศพกับม้าชั้นเยี่ยมที่สุดของพระองค์ จำนวน 8 ตัว